 (D)
นางพญากรุวัดดาวเสด็จ จ.สระบุรีครับเพราะจ่าสิบเอกเรือง ดำมาพล ทหารม้าเนื้อ ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้นอนหลับและฝันไปว่ามีผู้เฝ้าทรัพย์สมบัติของ
แผ่นดินมาบอกให้ไปขุดพระเพราะได้ถูกฝังมานาน จ่าเรืองตกใจตื่นขึ้นก็ยังไม่ค่อยเชื่อความฝันนัก จึงเล่าให้ลูกเมียและ
คนใกล้ๆบ้านฟังต่างก็สนใจในคำฝันนั้นว่าจะเป็นจริงหรือไม่ จ่าเรืองเองไม่กล้าตัดสินใจที่จะไปขุดตามคำบอกเล่าของ
ผู้เฝ้าทรัพย์สมบัตินั้น ต่อเมื่อได้ฝันอีกเป็นคำรบสอง จ่าแก่จึงได้ตัดสินใจเกณฑ์พลทหารซึ่งเป็นกำลังพลที่มีสมรรถภาพ
กำลังกายเข้มแข็งในการออกแรงขุดดินจำนวน 10 คนเศษทำการขุดดินนั้นตามคำฝัน ก่อนอื่นที่จ่าแก่จะใช้พลทหารเหล่านั้น
ขุดก็ได้จุดธูปเทียนบูชาเจ้าที่เจ้าทาง และเจ้าของทรัพย์นั้นน ขณะที่ทำการขุดนั้นเป็นฤดูฝน ฝนได้ตกติดต่อกันมาแทบทุกวัน
และได้พบพระตามคำฝันนั้นทุกประการเป็นจำนวนนับเป็นหมื่นองค์ เมื่อพบแล้วก็ใส่ภาชนะเข่ง 2-3 เข่ง ทหารได้นำเอาพระ
ที่เปรอะเปื้อนโคลนตรมไปล้างน้ำตอนที่ขุดพบใหม่ๆ พระนั้นก็ละลายหลายหายไปกับตาจำนวนหนึ่ง ที่เหลือก็นำเอามายัง
บ้านแบ่งปันกันทั้งทหารและจ่า เรียกว่าการพบพระครั้งนั้นมากเป็นประวัติการณ์ ของจังหวัดสระบุรี จึงทำให้พระกรุนี้มีคุณค่า
และมีความสำคัญคู่เมืองสระบุรีก็ว่าได้ เพราะพระกรุนี้นักนิยมสะสมทุกท่าน เรียกชื่อท่านว่า "พระนางพญากรุวัดดาวเสด็จ"
วัดดาวเสด็จนั้นมีคนเก่าคนแก่เล่าสืบทอดกันมาว่า เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีมีอุโบสถวิหาร,พระเจดีย์
สมบูรณ์แบบ ต่อมาช่วงระยะหลังได้เสื่อมโทรมลงและเป็นวัดที่ขาดการบูรณะ ทำให้ร้างไปจนสิ้น จนกระทั้งไม่เหลือแม้แต่
ซากให้เห็น มีชื่อเรียกมาก่อนว่าวัดดาวเสด็จ ก่อนที่วัดวาอารามจะสิ้นสลายหายสาปสูญ ได้มีผู้คนในละแวกนั้นเห็นแสง
พวยพุ่งสีเหลืองดังทองมีประกายแวววาว คล้ายกับผีพุ่งใต้มีรัศมีสุกปลั่งสวยงามน่าอัศจรรย์ พุ่งมาจากทิศตะวันตก มายัง
ทิศตะวันออก ตกลงยังวัดดาวเสด็จนั้น ผู้พบเห็นเชื่อว่าเป็นพระธาตุของพระพุทธเจ้าเสด็จ เพราะเหตุนี้จึงมีผู้ตั้งชื่อและเรียกขาน
วัดนี้ว่า วัดดาวเสด็จ ตั้งแต่นั้นมาจวบจนกระทั่งปัจจุบันทุกวันนี้วัดดาวเสด็จได้ถูกปฏิสังขรณ์ สร้างเป็นวัดขึ้นใหม่มีสงฆ์อาศัย
จำพรรษาอยู่ก็เป็นวัดหนึ่งที่มีทั้งอดีตและปัจจุบันคือ เคยรุ่งเรืองมาก่อนและรกร้างไป กลับมาเจริญรุ่งเรืองใหม่ในสมัย
รัตนโกสินทร์นี้ (นี่คือความเป็นมาของวัดดาวเสด็จ) |