สมัยที่ปู่ผมบวชอยู่กับท่านพ่อ ได้มีโอกาสรับใช้ท่านพ่อโต ปู่เป็นคนปลงผมและตัดเล็บท่านหลายครั้ง ปลงผมตัดเล็บแล้วก็เอาเก็บไว้ จนปัจจุบันนี้ก็ยังเก็บรักษาไว้อยู่ ปู่มักเล่าให้ฟังว่าท่านพ่อไม่เคยสอนวิชาใคร หรือไม่มีลูกศิษย์มาอยู่เรียนวิชากับท่านอย่างจริงจัง จะมีก็แต่มาอาศัยเท่านั้น น่าเสียดายนะครับ
บางครั้งท่านพ่อเห็นว่าใครพอสอนได้ ก็จะเอ่ยเรียกเป็นสำเนียงภาษาระยองแท้ๆว่า "เธอเข้ามานี่ แล้วก็สอนคาถาบทสั้นๆ จะไม่นิยมให้จด แต่ท่านนิยมให้จำเอา จำไม่ได้ก็ถือว่าไม่มีวาสนา พอสอนเสร็จแล้วมักบอกว่า ภาวนาตามที่สอนแล้วอยากได้อะไรให้นึกถึงฉัน" ปู่ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ได้คาถานี้มา(คาถาสารพัดนึก) เพราะปู่เป็นคนจำแม่น ท่านสอนรอบเดียวก็จำได้ เมื่อไม่นานนี้ปู่สอนผม ผมจำไม่ได้ซักประโยคเดียว แต่จำได้ว่าเป็นคำบาลี กับคำไทยสลับกัน มีใจความโดยรวมกล่าวถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ท่านไม่นิยมการพนัน เสือผู้หญิง อะไรอย่างนั้นเลย ดังนั้นปู่บอกว่า ใครใช้ของของท่านไม่สำรวมในศีลให้ดีแล้ว มักไม่ได้รับประสบการณ์อะไรแปลกๆ ถ้าไปเล่นการพนันแล้วไซร์ ถึงกับต้องจำนำหรือขายพระของท่านออกจากคอเลย เพราะเจ๊งหมด"
ตรงกันข้าม หากใครเป็นคนทำมาหากินแล้ว และมีศิลธรรมแล้ว ท่านพ่อโตเคยกล่าวไว้ทำนองเปรียบเทียบว่า " เอาของของฉันไปทิ้งหลุมขี้ เอามาล้างน้ำก็ใช้ได้เหมือนเดิม" หมายถึง ถ้าเป็นคนดีแล้ว จะใช้อย่างไรมันก็ไม่เสื่อม ดีเสมอๆ
ท่านเคยทำสีผึ้งด้วย มีสีออกดำ คนเก่าๆเรียกว่าสีผึ้งแม่ทองดำ ใช้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ เมตตามหานิยมให้คนรักใคร่เท่านั้น ภายหลังท่านหยุดทำเพราะมีคนเอาไปใช้ในทางที่ไม่ดี และไปโดนเข้ากับญาติของท่าน(เด็กผู้หญิง)
ปู่เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนพระของท่านจะถูกแกะพิมพ์โดยช่างของกรมศิลป์ที่เป็นคนแกลง และลูกศิษย์สายทหารเรือหามาช่วยด้วย ผมจำชื่อไม่ได้
ปู่เล่าให้ฟังอีกว่า คราวหนึ่งท่านเจอหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ พอท่านพ่อโตทราบว่าหลวงพ่ออี๋ทำปลัด(ขิก) ท่านพ่อโตกล่าวยิ้มๆกับหลวงพ่ออี๋ว่า "ท่านอี๋เล่นพิเรน" (หมายถึงทำของที่ไม่น่าทำ)
เล่ามาเพราะได้ยินได้ฟังมาจากคนที่น่าจะเชื่อถือได้ครับ |
|