(D)
 กรุงศรีอยุธยา ไม่สิ้นคนดีฉันใด วัดในกรุงศรีอยุธยา ก็ไม่สิ้นสมณะผู้บรรลุธรรมฉันนั้น
พระสมณะผู้บรรลุธรรมขั้นสูง สมเด็จพระพุฒาจารย์(เสงี่ยม) วัดสุทัศน์ฯ ยังมากราบไหว้
พระผู้อยู่อย่างสมถะ ปฏิเสธ ซึ่ง ลาภ ยศ และสรรเสริญ
พระเกจิอาจารย์ชื่อดังในอดีต ทำเครื่องรางของขลังได้ทุกชนิด
สามารถขอบารมีพุทธองค์ อธิษฐานจิตเพียงชั่วอึดใจ
เครื่องรางของขลัง มีพลังเย็น มีประสบการณ์ดีในทุก ๆ ทาง
เป็นที่เสาะหากันในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และหมู่ศิษย์ผู้ศรัทธา
ศิษย์เอกหลวงพ่อยอด วัดหนองปลาหมอ สระบุรี
ยอดปรมาจารย์ พระผู้เมตตาต่อสัตว์ผู้ยาก แมว ไก่ สุนัข เต็มกุฏิ
พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง
เมื่อก่อนปี พ.ศ. 2500 ที่วัดญาณเสน
ต. ท่าวาสุกรี อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
มีพระอาจารย์ผู้เรืองวิชารูปหนึ่ง ชื่อ หลวงพ่อชื้น พุทธสโร ช่วยเหลือชาวบ้าน รักษาโรคภัยไข้เจ็บ ด้วยน้ำพระพุทธมนต์ มีชื่อเสียงมากในทางแก้คุณไสย ป้องกันภูตผีปีศาจ ถูกกระทำ โรคกรรมเก่า โรคจิตวิปริต จิตฟุ้งซ่าน คลอดลูกไม่ออก พ่นตาแดง รักษาฝี ฯลฯ
เมื่อหลวงพ่อชื้นเสกน้ำมนต์ ให้ดื่มกินก็ปรากฏว่าหายวัน หายคืน เป็นไปอย่างน่าประหลาด เหล่าภูตผี เจ้าที่หรือวิญญาณที่มีสิงสู่ในตัวตน เมื่อรู้ว่ามีผู้นำน้ำพุทธมนต์เสกของ หลวงพ่อชื้น มา ก็รีบหนีไปผุดไปเกิดทันที จนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วตลาดหัวรอ ตลาดเจ้าพรหม
ผู้ที่ชอบทางค้าขายหลวงพ่อก็จะเสกนางกวักเรียกคนเข้าร้านให้
ผู้ที่ชอบทางโลดโผน ผจญภัย เป็นรั้วของชาติ ท่านก็สร้างตะกรุดโทนแจกให้
เล่นแร่แปรธาตุ
ในสมัยนั้นบรรดาเกจิอาจารย์นิยมเล่นแร่แปรธาตุ โดยนำโลหะต่างชนิดกันมาผสมกัน
เพื่อให้เป็นทองคำให้เป็นแร่ธาตุกายสิทธิ์ผสมโลหะ 5 อย่าง 7 อย่าง 9 อย่าง ออกมาเป็นสัตตโลหะ นวโลหะ
อย่างเช่นหอกพลายชุมพล ปลายหอกทำด้วยสัตตโลหะ ใครที่ว่าเหนียว เมื่อเจอโลหะผสมก็เปื่อยเป็นเนื้อต้มทีเดียว
หลวงพ่อชื้น ท่านก็ลองวิชาของท่านเหมือนกัน นำโลหะมาผสมได้เนื้อเหลืองคล้ายทองคำก็มี
เนื้อเหลือบใสแดงขาวก็มี ท่านเรียกโลหะของท่านว่า เนื้อลูกแก้ว
ท่านผสมไว้มากมายใต้ถุนกุฏิ เมื่อใครมาขอท่านก็หลอมเป็นลูกอมเล็ก ๆ ให้พกติดตัว ผู้ที่ได้ไปก็แคล้วคลาดภัยอันตรายต่าง ๆ
ถ้าวันใดว่าง ๆ ท่านก็จะให้ศิษย์ไปหาตะปูสังขวานรตามเจดีย์ร้างเก่า ๆ มาหลอมรีดเป็นตะกรุด
ผู้ได้ไปก็มีความคงกระพันชาตรี มหาอุด หยุดลูกปืน จนท่านทำให้แทบไม่หวาดไหว
พระธุดงค์มาสอนธรรมะเพื่อความหลุดพ้น
ต้นปี พ.ศ. 2500 มีพระธุดงค์รูปหนึ่งได้ธุดงค์ผ่านมาที่วัดญาณเสน
พบกับ หลวงพ่อชื้นเข้าโดยบังเอิญ ท่านอาจารย์ทั้งสองเกิดถูกอัธยาศัยกัน
จึงได้สนทนาธรรมกับผู้ศึกษาธรรมย่อมรู้ญาณซึ่งกันและกัน
เพียงสนทนากันไม่กี่ประโยคก็ทราบได้ว่ามีความรู้เพียงใด บำเพ็ญเพียร มามากเพียงใด
อาจารย์ต้องการศิษย์
.ศิษย์ต้องการอาจารย์
พระธุดงค์เปรยขึ้นมาว่า ที่ท่านชื้นได้ร่ำเรียนวิชามานั้น ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ในวัตถุ
ต้องปล่อยปละละวาง ละความโลภ โกรธ หลง ทั้งปวง
พร้อมทั้งแนะนำธรรมะ และข้อปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นอีกหลายข้อ ตามแนวทางของพระพุทธองค์
หลวงพ่อชื้น จึงได้กราบขอเป็นศิษย์ พระธุดงค์รูปนั้นก็มิได้ปฏิเสธและพูดว่า
นับเป็นกุศลของอาตมาที่จะได้ช่วยให้ผู้มีบุญวาสนาอยู่แล้วได้สำเร็จมรรคผล
นับแต่วันนั้นมาพระภิกษุทั้ง 2 รูป ก็ได้ทบทวนศีล 227 ข้อ พระธรรมวินัยต่าง ๆ ภายในพระอุโบสถ
ครั้นยามค่ำคืนก็พากันนั่งสมาธิอยู่โคนต้นโพธิ์ ภายในวัดญาณเสน โดยที่หลวงพ่อชื้นจะภาวนาพระคาถาต่าง ๆ ไปด้วย และลงท้ายด้วยภาวนา นัตถิเม มีพระธุดงค์รูปนั้น ได้นั่งสมาธิคุมไปด้วย
ความสำเร็จ
จนกระทั่งเวลาได้ผ่านไป 2 เดือน กับอีก 27 วัน หลวงพ่อชื้น ท่านก็ยังไม่ได้อะไร เพียงแต่ว่าจิตใจสบายและสงบขึ้น และในคืนวันที่ 27 นั้นตอนใกล้รุ่งที่โคนต้นโพธิ์ หลวงพ่อชื้น ท่านได้ยินเสียงเหมือนคนหว่านทรายมารอบ ๆ ตัวท่าน
จึงลืมตาถาม พระธุดงค์ พี่เลี้ยงว่า นั่นเสียงอะไร
พระธุดงค์ จึงตอบว่า ผีประจำต้นโพธิ์มันจะเข้าต้นไม้ มันไล่ท่านแล้ว
คืนต่อมาหลวงพ่อชื้น จึงขอเข้ามานั่งสมาธิอยู่ในโบสถ์ จะได้ไม่ไปรบกวนเจ้าที่เจ้าทาง
หลังจากนั่งในพระอุโบสถคืนที่ 3 ใกล้รุ่ง
หลวงพ่อชื้น ก็นิมิตเห็น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งสมาธิลอยมา ถึง 3 พระองค์
และพระธรรมจักร เปล่งรัศมีโชติช่วง หมุนอยู่ระหว่างกลาง องค์พระทั้ง 3 พระองค์
เมื่อหลวงพ่อชื้นถอนสมาธิก็บังเกิดความสว่างขึ้นภายในดวงใจ เต็มไปด้วยความปิติ จะนึกสิ่งใดต้องการรู้สิ่งใดก็มีคำตอบขึ้นมาเสร็จ
ท่านจึงได้เล่านิมิตให้พระธุดงค์ฟัง พระธุดงค์รูปนั้นท่านก็บอก ว่า
อาตมาหมดหน้าที่แล้ว อาตมาจะกลับไปที่บ้านเกิดของอาตมา
ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดโบสถ์ อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา
พระอาจารย์มรณภาพ
หลังจากวันนั้นแล้วพระธุดงค์องค์นั้นก็ธุดงค์กลับ แม้หลวงพ่อชื้นจะอ้อนวอนให้อยู่ต่อ
เพื่อจะได้สนองคุณดูแลเมื่อยามแก่เฒ่า
หลวงพ่อชื้น เล่าว่า พระธุดงค์องค์นี้ ชื่อ หลวงพ่อเสน เตชะธัมโม เป็นชาวโคราช อำเภอสูงเนิน
มาอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เล็ก ๆ กับพระยาท่านหนึ่ง
ต่อมาได้อุปสมบทที่วัดบรมนิวาส ได้เล่าเรียนพระปริยัตธรรม วิปัสสนากรรมฐาน
อยู่กับ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) จนกระทั่งมีความคงแก่เรียน
จึงได้ออกรุกขมูลธุดงค์หาความวิเวกไปตามสถานที่ต่าง ๆ จนกระทั่งบำเพ็ญเพียรถึงขั้นสูงสุด
หลวงพ่อชื้น เล่าว่า ท่านได้ส่งกระแสจิตถึงกันอยู่เสมอ เพียงแต่นึกถึงกัน ก็สนทนากันได้แล้ว
และหลังจากนั้นอีก 5 ปี พระอาจารย์เสน เตชะธัมโม ก็มรณภาพ ในท่านั่งสมาธิ
อยู่บนภูเขาแห่งหนึ่ง ในอำเภอสูงเนิน
เมื่อหลวงพ่อชื้นทราบข่าว ก็ขึ้นไปทันที กว่าจะหาศพพบ ก็เป็นเวลา 7 วัน
ปรากฏว่านั่งมรณภาพในขณะสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ในซอกหิน
ศพไม่เน่าเปื่อยเหมือนคนหลับธรรมดา สัตว์ป่า หรือ มด แมลง ก็มิได้มาไต่ตอม
หลวงพ่อชื้น ท่านก็ได้ช่วยทำการฌาปนกิจอย่างสมเกียรติ แล้วจึงเดินทางกลับ
ตรงนี้ ขอแทรกคำอธิบาย ประสบการณ์ตรงของกระผมเอง
เพื่อความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น
แต่ก็ไม่ได้บอกว่า ต้องเชื่อผมนะครับ พึงพิจารณาด้วยตัวของท่านเอง
และได้โปรดอย่ากล่าวจาบจ้วงถึง หลวงปู่ฯ
เพราะว่า ท่านพูดเพียงลำพังกับผม ท่านก็ไม่ได้สั่งให้ผมมาเผยแพร่ สู่ภายนอก
ดังนั้น หากเมื่อท่านผู้อ่าน พบว่า เป็นข้อความที่โอ้อวด
ก็โปรดกล่าวโทษเฉพาะกระผมเท่านั้น นะครับ
..................................................................................
ความเป็นจริง ในสมัยที่หลวงปู่ฯ ยังทรงสังขารอยู่นั้น
ผมก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ ให้ใครฟังเลย
หลังจากหลวงปู่ฯ ท่านละจาก ทิ้งสังขาร ไว้ให้ลูกหลานได้กราบไหว้
ผมจึงคิดว่า ควรนำเรื่องนี้ มาเล่าสู่กันฟังไว้บ้าง
เพื่อที่ว่า อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับบางท่าน
โดยขอเน้นว่า ไม่ได้บอกว่า ต้องเชื่อผมนะครับ พึงพิจารณาด้วยตัวของท่านเอง
..................................................................................
มีอยู่วันหนึ่ง เมื่อไปกราบถวายภัตราหาร แด่หลวงปู่ฯ
ตั้งแต่เช้า ก่อน 07.00 น. เหมือนเช่นเคย
หลังจากท่านฉันภัตราหารแล้ว ห้วงเวลาที่ว่างอยู่ ก่อนที่ท่านจะกลับขึ้นสู่เตียงพยาบาล
ผมได้มีโอกาสได้ถามถึง รูป พระสงฆ์รูปหนึ่ง ยืนสะพายบาตร ที่ฝาผนังห้องของท่าน
หลวงปู่ฯ ท่านอธิบายว่า เป็นรูปของ พระอาจารย์ ของท่านเอง ชื่อว่า โพธิสัตว์ เตฯ
(ก็คงเป็นองค์เดียวกับ พระอาจารย์เสน เตชะธัมโม)
หลวงปู่ฯ ท่านได้อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า....
โอ.. องค์นี้เก่ง เป็นพระโพธิสัตว์ ขนาด น้ำกรด ท่านดื่ม อั่ก ๆ ๆ ไม่เป็นไรเลย
พอดี ผมเห็นว่ามีช่องทาง พอที่จะกราบเรียนถามหลวงปู่ฯ
ในเรื่องที่ค้างคาในใจ แต่ไม่รู้ว่า จะถามใคร
ผมจึง กราบเรียนถามหลวงปู่ฯ ว่า....
หลวงปู่ฯ ครับ.. หลวงปู่ฯตามอาจารย์ หรือเปล่าครับ
หลวงปู่ฯ ท่านกล่าวโดยทันทีว่า.. เฮ้ย.. คนละพวกกัน
ตรงนี้ ผมก็เข้าใจได้ ตามปัญญาของผม ในขณะนั้น ว่า....
หลวงปู่ฯ ท่านไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิ เหมือนท่านอาจารย์
ผมเอง ก็ยังคาใจอยู่อีกนิดหนึ่ง จึงกราบเรียนหลวงปู่ฯ อีกว่า....
หลวงปู่ ครับ.. หลวงปู่ไปพระนิพพาน ชาตินี้ ใช่ไหมครับ
หลวงปู่ฯ ท่านเมตตา เป็นอย่างสูง มองหน้ากระผมนิดหนึ่ง....
แล้วก็ส่งเสียงตอบ แบบว่า ไม่ได้อ้าปาก แต่ก็ส่งเสียงในลำคอ พอให้ได้ยินว่า อื้อ ๆ
เพียงเท่านั้นเอง ผมก็รู้สึกว่า ปีติก่อเกิด ยินดี ปรีดา อย่างที่สุด
กระผมเอง จาบจ้วง ที่กราบเรียนถามต่อหลวงปู่ฯ ตรง ๆ
แต่ผมก็คิดว่า หลวงปู่ฯ ท่านก็ย่อมทราบว่า เจตนาของผมนั้น ไม่ได้มีเจตนาอันเลว
ท่านจึงสงเคราะห์ให้ ซึ่งผมคิดว่า ท่านมีความเมตตาต่อกระผมเป็นอย่างยิ่ง
(ซึ่งเรื่องนี้ ผมก็ไม่เคยที่จะเล่าให้ใครฟัง จนกระทั่ง ท่านละสังขาร ไปแล้ว)
เกี่ยวกับ วัตถุมงคล ที่สามารถป้องกันได้ถึง รังสี
ตรงนี้ขอเล่าเรื่อง ที่เป็นประสบการณ์โดยตรง ที่เกี่ยวข้องแก่กระผม เท่านั้น
จะจริง จะเท็จ อย่างไร ก็เป็นเรื่องที่กระผมสัมผัสเอง ทั้งนั้น
ท่านจะเชื่อ หรือไม่ อย่างไร เราก็ต้องพิจารณาด้วยดุลพินิจที่ดีของตัวของเราเอง
เรื่องวัตถุมงคล ที่ครูบา อาจารย์ ทำพิธีพุทธาภิเษกไว้ และเป็นที่ยืนยันว่า
สามารถป้องกันภัย ได้ถึง ปรมาณู นิวเคลียร์ และ รังสี
หากท่านที่ไม่ได้ติดตามข่าวคราว นานา เกี่ยวกับสงครามที่จะเกิดขึ้น
ในเร็ววันนี้ คือใน พ.ศ. 2550 51 52 53 ก็อาจจะมีข้อสงสัยว่า....
จะมีวัตถุมงคลที่สามารถป้องกันภัย ได้ถึง ปรมณู นิวเคลียร์ และ รังสี กันไปทำไม
ตรงนี้ ก็ไม่ได้บอกว่า จะต้องเชื่อถือกัน ตามที่ผมกล่าวถึง
ก็ฟัง ๆ ไว้ก่อน เรียกว่า ฟังหูไว้หู รู้ไว้บ้างประดับความรู้ ดีกว่าที่จะไม่รู้อะไรเลย
แล้วค่อย ๆ ใคร่ครวญจากสภาวะ และสถานการณ์ของโลก ในอนาคตอันใกล้นี้
(ในการเล่าวาระประสบการณ์ครั้งแรกผู้บันทึกได้กล่าวถึงหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง กระผม (พศกร) ได้ตัดตอนข้อความนี้ออกไป เนื่องจากไม่ต้องการให้กระทู้นี้กลายเป็นกระทู้เชียร์ครูบาอาจารย์ตัวเอง ถ้าท่านที่สนใจต้องการอ่านเพิ่มเติม สามารถหาอ่านได้ในเวปพลังจิต)
วาระที่สอง ที่ได้รับฟัง
เรื่อง วัตถุมงคลที่สามารถป้องกันภัย ได้ถึง ปรมาณู นิวเคลียร์ และ รังสี
หลังจากได้รับความรู้ ได้ซึมซับเรื่องราววัตถุมงคล จากองค์หลวงพ่อฯมาแล้ว
ผมก็ไม่ได้ดิ้นรนกระไรอีก (แต่ก็มีบ้างที่เก็บ หาเก็บ ในครูบาอาจารย์ คณะเดียวกัน)
ต่อมา ก็มีเพื่อน ๆ ที่มีประสบการณ์มา เล่าให้ฟังว่า....
พระสงฆ์ ที่เอ่ยปากกล่าวรับรองผลว่า วัตถุมงคลที่ท่านสร้างขึ้น(พุทธาภิเศก)
สามารถป้องกันภัย ได้ถึง ปรมาณู นิวเคลียร์ และ รังสี นั้น
หลวงปู่ชื้นฯ วัดญาณเสน ก็เคยได้กล่าวไว้ เช่นกัน
ในวาระแรก ๆ ผมเองก็เพียงรับฟังไว้ เพราะว่า ไม่เคยสัมผัสกับท่านมาก่อน
เพียงแต่ เมื่อได้ยินชื่อของท่าน ก็มีความเลื่อมใสขึ้นมาเอง
(อาจจะเพราะว่า บังเอิญ ชื่อของแม่ของกระผม ชื่อเดียวกับหลวงปู่ฯ)
ต่อมา..
เคยได้พบ นายช่าง กรมชลประทาน ท่านหนึ่ง ที่บันทึกลงสมุดบันทึกส่วนตัว ว่า
ปีนั้น.. ปีนี้.. หลวงปู่ชื้นฯ ได้เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเศก กับเกจิอาจารย์ต่าง ๆ
หลังจากพิธีนั่งปรก หลวงปู่ฯ ท่านก็ลุกขึ้นยืน ใช้มือแตะไปที่กองวัตถุมงคลทั้งหมด
แล้วก็เอ่ยว่า ขอให้วัตถุมงคลทั้งหมด ที่เข้าพิธีในวันนี้ สามารถปกป้อง กันภัยได้ทั้งหมด ตลอดจนถึง ปรมณู และรังสี
นายช่างฯท่านนั้น ก็ได้ให้ผมอ่านบันทึก ที่เขาบันทึกไว้
จากการอ่านบันทึกว่า หลวงปู่สิมฯ วัดถ้ำผาปล่อง ท่านก็เคยเข้าร่วมพิธีพร้อมกับหลวงปู่ฯ
แต่ก็เป็นบันทึกของคนอื่นอยู่ดี
ซึ่งผมเองก็เชื่อ และศรัทธา ต่อหลวงปู่ฯ แต่ก็ไม่ได้ขวนขวายนัก
จากนั้น ในห้วงเวลาต่อมา ได้กราบพบหลวงปู่ฯ ได้พบ ได้เห็นปฏิปทา
และความรู้พิเศษ ของหลวงปู่ฯ ก็ยิ่งเกิดความศรัทธา เลื่อมใส มากยิ่งขึ้น
แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะถามเรื่องที่หลวงปู่ฯพูดในเรื่องวัตถุมงคล
เพราะว่า ไปกราบท่าน ถวายภัตตาหารแด่ท่าน ได้นั่งชมบารมีท่าน
นัยน์ตาท่านใสแจ๋ว ริมฝีปากแดง อารมณ์ดี ดูสดชื่นแจ่มใส น่าชื่นใจยิ่งนัก
เพียงแค่นี้ ก็นับว่าคุ้ม อย่างยิ่งแล้ว
มีเพื่อนผม ท่านหนึ่ง นำ "พระเครื่องเนื้อดินเผา" พิมพ์ของหลวงปู่ฯ ที่สร้างเมื่อ ปี พ.ศ.2500 มาให้ผม
ผมเอง ก็ดูไม่เป็น ไม่มีความชำนาญ ในวัตถุมงคลของหลวงปู่ฯ
ก็นึกในใจว่า.. เอ.. จะปลอม หรือเปล่า ก็ไม่รู้ ตั้งแต่ปี 2500 ก็นานมาแล้ว
ก็คิดไว้ในใจว่า เราก็นำไปถามหลวงปู่ฯ ก็ได้ ว่าปลอม หรือเปล่า
แต่จิตก็กังวลว่า เอ.. แล้วจะถามหลวงปู่ฯ ว่าอย่างไรดีล่ะ
หากจะถามว่า พระ นี้ ปลอม หรือเปล่า
ก็คิดได้ว่า หลวงปู่ฯ ท่านก็ย่อมจะบอกว่า ไม่ปลอม
เพราะว่า เมื่อสร้างสำเร็จเป็นองค์พระแล้ว จะปลอมได้อย่างไรกัน
ก็นึกคำถาม ที่จะกราบเรียนถามหลวงปู่ฯ ว่า
พระ องค์นี้ สร้างในวัดฯ หรือ นอกวัดฯ
ก็คิดว่า เป็นคำถามที่ฉลาด ดีแล้ว จะต้องได้คำตอบที่แน่ชัดได้แน่ ๆ
วันต่อมา....
ก็มีโอกาสเดินทางไปกราบ และถวายภัตราหาร อีกวาระหนึ่ง
ก็รอโอกาส ที่หลวงปู่ฯ ฉันภัตราหารเสร็จแล้ว นั่งคุยกับลูกหลาน
ผมก็เลยนำ พระเครื่องเนื้อดินเผา ออกจากกระเป๋าเสื้อ ยื่นส่งให้หลวงปู่ฯ
ขณะที่กระผมจะได้เอ่ยปาก กราบเรียนถามหลวงปู่ฯ ตามที่ได้ตั้งใจไว้
แต่ทว่า หลวงปู่ฯ ได้นำ พระเครื่อง องค์ดังกล่าว จับยกขึ้นแตะหน้าผาก
มือของผมที่พนมขึ้น เพื่อกราบเรียนถามหลวงปู่ฯ ก็เลยเป็นการสักการะพิธีกรรมที่หลวงปู่ฯ เสกให้
จากนั้น ไม่น่าเกิน 1 นาที ท่านก็ลืมตา และยื่นส่ง พระเครื่อง คืนมาให้กระผมพร้อมกับพูด ว่า....
..เอาไป ลูก ป้องกันมีด ปืน จรวด ปรมณู รังสี นิวเคลียร์ ป้องกันได้ทั้งหมด
โอ้โห.. โอ้โฮ.. สำเร็จเสร็จสิ้นในครั้งเดียว จริง ๆ เลยครับ
หลวงปู่ฯ ท่านรู้วาระจิต ที่ผมสงสัยทุกประการ....
ผมสงสัย แต่ไม่เคยกราบเรียนถามหลวงปู่ฯ ตรง ๆ เกรงจะเป็นโทษ
ผมสงสัย ว่า หลวงปู่ฯ ท่านพูดจริงไหม เรื่องวัตถุมงคลของท่าน ป้องกันรังสีได้
ผมสงสัย ว่า พระเครื่อง ที่ได้รับมานั้น ปลอม หรือไม่
ท่านเสก พร้อมอธิบาย เสร็จเรียบร้อย ตามที่ผมสงสัยทุกประการ
โดยที่ไม่ต้องเอ่ยปาก กราบเรียนท่านเลย
วัตถุมงคลรุ่นแรก พระรัตนจักร
และในปี 2500 เป็นปีที่ฉลองยี่สิบห้าพุทธศตวรรษ
บรรดาศิษย์ที่ใกล้ชิด ได้รบเร้าให้หลวงพ่อทำวัตถุมงคล เป็นที่ระลึก
เพื่อแจกแก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาบ้าง
ท่านจึงตกลงจะทำ พระเครื่องเนื้อดินเผาแจก
โดยแกะแม่พิมพ์สามเหลี่ยมเป็นองค์ พระพุทธ 3 องค์
นั่งสมาธิด้านล่าง 2 องค์ และด้านบน 1 องค์
ตรงกลางมี ธรรมจักร หรือ กงจักร ยกขอบด้านหลังเรียบ
ขนาด กว้าง 3.5 ซม. X สูง 1.5 ซม. X หนา 1.5 ซม.
นับว่าขนาดใหญ่พอประมาณ
สร้างประมาณ 2,500 องค์ เนื้อ ดิน 9 วัด
โดยให้ศิษย์ขุดดินหน้าโบสถ์วัดที่มีชื่อ ชัย มาให้ครบ 9 วัด คือ
1.วัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยา
2. วัดสนามไชย อยุธยา
3. วัดโบสถ์สมพรชัย อยุธยา
4. วัดไชยภูมิ อยุธยา
5. วัดไชโย อ่างทอง
6. วัดไชยสงคราม อ่างทอง
7. วัดวิเศษชัยชาญ อ่างทอง
8. วัดชัยเฉลิมมิตร สระบุรี
9. วัดประสิทธิ์พรชัย สระบุรี
เมื่อได้มาครบ 9 วัดแล้วก็นำมาตำให้เหนียว ใส่น้ำพระพุทธมนต์ลงไป
กดแม่พิมพ์ แล้วเผาให้สุกที่หน้าพระอุโบสถวัดญาณเสน
โดยหลวงพ่อชื้น ได้ทำพิธีปลุกเสกให้ 3 คืน
ผู้มารับแจก นำไปทดลองยิงดูปรากฏว่า กระสุนไม่ออกจากลำกล้อง ถึง 3 นัด
เมื่อหลวงพ่อชื้นทราบเข้า ท่านก็ห้ามปราม พระชุดนี้ ได้หมดไปอย่างรวดเร็ว
พระรัตนจักรเนื้อชินสังขวานร
ในพิธีเดียวกันนี้ศิษย์ใกล้ชิดได้แกะแม่พิมพ์ พระรัตนจักร ด้วยหินมีดโกน ขนาดเดียวกันกับแม่พิมพ์เนื้อดิน
นำตะปูสังฆวานรจากเจดีย์ร้างต่าง ๆ ภายในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พระเครื่องเนื้อชินเงินที่หักชำรุด ของกรุวัดราชบูรณะ อยุธยา
มาให้หลวงพ่อชื้น ทำพิธีหลอม และเทเป็นองค์พระได้ 200 องค์
แจกเฉพาะศิษย์ที่ใกล้ชิด หรือผู้ที่เป็นเจ้าภาพกฐิน ผ้าป่า
พระชุดนี้ดีเด่นทางเมตตา และคงกระพันชาตรี เป็นที่เสาะหากันอย่างมาก
ธงผ้ากาสาวพัสตร์
หลวงพ่อชื้น ได้นำผ้าจีวรเก่า ๆ มาตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
กว้างประมาณ 3.5 นิ้ว x ยาว 4.5 นิ้ว
ทำตราไม้ มียันต์กงจักร ปั๊มด้วยหมึกแดง ภายในวงกลมเล็กเขียน ว่า
พ้นภัยจริง กำจัดภัยได้จริง พระรัตนไตร เป็นที่พึ่งอย่างสูงสุด
วงนอกเขียนว่า ธงพระรัตนจักร์ชัยสิทธิ์ กำจัดภัยยุคกาลี สัจฤทธิ์
วงนอกสุดเป็นอักขระขอมพระคาถา ธงนี้มีประมาณ 1,000 ผืน
ผู้ที่ได้แจกส่วนมากเป็นพ่อค้าแม่ค้า อยู่ตลาดหัวรอ ตลาดเจ้าพรหม
ผู้ได้ไป ทำมาค้าขึ้น เป็นที่หวงแหนอย่างมาก
(หมายเหตุ: ผ้ายันต์ผืนที่เป็นรูปประกอบ ไม่ทราบว่าเป็นรุ่นใดนะครับ ...พศกร)
ประวัติหลวงพ่อชื้น
หลวงพ่อชื้น ท่านเกิดที่หมู่บ้านอำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี
เขตติดต่อกับจังหวัดพระนครศรีอยุยา
เมื่อวันพุธ เดือนสี่ หรือเดือนมีนาคม ปีมะแม พ.ศ. 2450
เป็นบุตรของ นายจันทร์ และ นางหงิม ในตระกูลชาวนา
อาชีพหลักของชาวไทยแท้โดยทั่วไป
วัยเด็กโยมบิดาได้นำมาฝากให้เล่าเรียนเขียนอ่านที่ วัดเกาะลอย ใกล้บ้าน
ครั้นอายุได้ 15 ปี บรรพชาเป็นสามเณร
อายุเต็ม 17 ปี ลาสิกขาออกมาช่วยโยมทั้งสองทำนาอยู่ 3 ปี
อายุครบ 20 ปี เมื่อ พ.ศ. 2470
โยมบิดา มารดา จึงให้อุปสมทบที่วัดเกาะลอย
โดยมี หลวงพ่อยอด พระเกจิชื่อดัง วัดหนองปลาหมอ สระบุรี เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอธิการมาต วัดหนองแค สระบุรี เป็นพระอนุสาวนาจารย์
พระอธิการทองดี วัดเกาะลอย สระบุรี เป็นพระกรรมวาจารย์
ได้รับฉายาว่า พุทธสโร
เมื่ออุปสมบทแล้ว
มีความขยันหมั่นเพียรเรียนพระปริยัติธรรม จนสอบได้นักธรรมตรี เมื่อปี พ.ศ. 2473
ในขณะเดียวกันก็เรียนพุทธเวท วิชาอาคม จาก หลวงพ่อยอดไปด้วย
ในขณะนั้นที่วัดเกาะลอย มีพระภิกษุที่เชี่ยวชาญทางไสยศาสตร์ วิชาแพทย์แผนโบราณ
ตั้งแต่ครั้งยังเป็นฆราวาส มาบวชจำพรรษาอยู่หลายรูป เช่น....
พระอาจารย์สาย พระอาจารย์ไท หรือ เสือไท ฉายาขุนโจรย่ามแดง ซึ่งล้างมือแล้ว
หันเข้าพึ่งพระธรรมในบั้นปลายของชีวิต เก่งในทางทำตะกรุด พิสมร เสื้อยันต์
ทำน้ำมนต์รักษาโรค ไล่ภูตผีปีศาจ วิชาผูกหุ่นกำบังกาย วิชากระสุนคด ฯลฯ
นอกจากนั้นยังมี พระอาจารย์ไกร หรือ เสือไกร,
พระอาจารย์ก้าน หรือ เสือก้าน ลูกศิษย์ของเสด็จในกรม หลวงชุมพรฯ
ปรากฏว่า หลวงพ่อชื้น ได้ขอถ่ายทอดวิชามาจนหมดสิ้น
เป็นวิชาของลูกผู้ชายระดับเสือ ซึ่งหนีไม่พ้นทางวิชาคงกระพันชาตรี วิชาทางมหาเสน่ห์
ออกธุดงค์
ในปี พ.ศ. 2474 หลวงพ่อชื้น ได้ไปกราบลาท่านอุปัชฌาย์ ท่านอนุสาวนาจารย์
ท่านกรรมวาจารย์ และพระอาจารย์เสือต่าง ๆ
เพื่อออกธุดงค์ บำเพ็ญเพียร ออกสู่โลกภายนอก
ธุดงค์มาจนถึง ตัวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งขณะนั้นวัดวาอารามต่าง ๆ
ยังรกร้าง ขาดพระสงฆ์องค์เจ้ามาดูแล
ผ่านมาทาง วัดญาณเสน เห็นมีเจดีย์ใหญ่เป็นสง่า มีต้นไม้รกครึ้ม
เหมาะแก่การจำศีลภาวนา จึงได้หมายตาเอาไว้
แล้วก็ธุดงค์ต่อไปยังอ่างทอง สุพรรณบุรี สิงห์บุรี ลพบุรี
พบปะกับพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดนั้น ๆ แล้วจึงกลับมาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาพำนัก ณ วัดญาณเสน ซึ่งขณะนั้นมีพระภิกษุดูแลวัดอยู่เพียง 2 3 รูป
เมื่อหลวงพ่อชื้น มาอยู่ก็ได้ช่วยกันหักร้างถางพง ซ่อมแซมกุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ
พระอุโบสถ ให้ดูสะอาดตา เหมาะแก่การบำเพ็ญศาสนกิจ
ชาวบ้านเมื่อเห็นวัดญาณเสน มี พระภิกษุหนุ่ม มาช่วยดูแลวัด
ก็พากันมาทำบุญตักบาตร ทั้งวันพระ วันโกน ตามประเพณี มิได้ขาด
ทดลองวิชา
ในสมัยที่ หลวงพ่อชื้น ยังเป็นพระภิกษุหนุ่ม ยามว่างจากภารกิจ ท่านก็ทบทวนวิชาอาคม ที่ได้ร่ำเรียนมาจากพระอาจารย์ต่าง ๆ สามารถทำตะกรุด ผ้ายันต์ ให้ขลังคงกระพัน ได้ทำน้ำพระพุทธมนต์ให้เป็นสิริมงคล รักษาโรคกรรมเวร โรคจิตได้ สามารถไล่ผีเข้า เจ้าสิงได้ ดูหมอดูฤกษ์ ทำนายทายทักโชคชะตาได้
หลวงพ่อชื้น เล่าว่า มีประชาชนในตังจังหวัด และห่างไกลมาหาท่านอยู่เสมอ ท่านก็ช่วยไปทุกคนเท่าที่ช่วยได้ เพื่อแลกกับข้าวถ้วยแกงถ้วยเท่านั้น มิได้เรียกร้อง เงินทอง แต่อย่างใด
เพราะชาวบ้าน เกิดมา ก็มีความจนเป็นทุนกันมาอยู่แล้ว
เล่นแร่แปรธาตุ
พระภิกษุในสมัยนั้นนิยมเล่นแปรธาตุ....
หลวงพ่อชื้น ท่านก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ชอบค้นคว้า ทดลองทางวิทยาศาสตร์
นำโลหะต่างชนิดกันมาหล่อหลอมเพื่อจะให้ได้ทองคำ หรือธาตุกายสิทธิ์
จุดประสงค์ก็เพื่อนำโลหะนั้น มาทำเป็นเครื่องรางของขลัง หรือทำเป็นพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ
ซึ่งหลวงพ่อชื้น ท่านก็ทำได้ นำมาหล่อเป็นพระยอดธง ลูกอม ตะกั่ว แจกแก่ลูกศิษย์ลูกหาในยุคแรก ๆ
ส่วนโลหะที่เหลือถึงปัจจุบันนี้ ท่านได้เรียกว่า เนื้อลูกแก้ว ออกสีเงินอมแดง แวววาว
ท่านมอบให้ศิษย์ที่อุปัฎฐากท่านในยุคหลัง นำไปสร้าง พระไตรรัตน์จักร องค์จิ๋ว ไว้แจกจ่ายแก่ญาติโยม
กระสุนคด
หลวงพ่อชื้น ท่านได้เรียนวิชากระสุนคดมาด้วย คือ ยิงกระสุนดินด้วยง่ามไม้หนังสติ๊ก ธรรมดานี่เอง ยิงออกไปตรง ๆ รัศมีทำการ คงประมาณ 100 เมตร ปรารถนาจะให้ถูกผู้ใดก็เป็นไปตามความต้องการ
สมัยนั้นผู้ที่ไปลักของสมบัติในเจดีย์ใหญ่ หรือไปขโมยปลาวัด จะโดน หลวงพ่อชื้น ท่านยิงด้วยกระสุนคดเสมอ
จนไม่มีใครกล้าไปแตะต้อง
สาเหตุที่เลี้ยง เป็ด ไก่ ห่าน ปลา หมา แมว
เพราะหลวงพ่อชื้น ท่านเมตตาต่อสัตว์เลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก ๆ
ท่านถือว่ามันเกิดมาร่วมโลก ร่วมทุกข์ เช่นเดียวกับมนุษย์
วัดของท่านจึงมีผู้นำ หมา แมว เป็ด ไก่ ห่าน ปลามาปล่อยมากมาย
เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ หรือขี้เกียจเลี้ยง ปัดสวะให้พ้นตัว ก็มิทราบ
ผู้ที่อยู่ใกล้วัดเล่าว่า เป็ด ไก่ ห่าน พวกนี้ถ้าไปปล่อยวัดอื่น
ชาวบ้านจะถือเป็นอาหารอันโอชะ.... แอบกินไปก่อนสมภารแล้ว
แต่เมื่อนำมาปล่อยวัดนี้ ไม่มีใครกล้าลักพาไปกิน
หลวงพ่อชื้น เล่าว่า
เมื่อท่านบวชมาได้ประมาณ 10 พรรษา อายุก็อยู่ในราว 30 ปี กำลังหนุ่มแน่น มีผู้มาแนะนำว่าท่านก็มีวิชาทางแพทย์แผนโบราณ รู้จักตัวยาสมุนไพรหลายอย่าง อย่างนี้น่าจะไปเปิดร้านรักษาคน หาเงินทองไปช่วยพ่อแม่ที่แก่เฒ่า จะเซ้งห้องแถวให้ที่ตลาดหัวรอ
หลวงพ่อชื้น ชักหวั่นไหว ในระยะนั้น เช้ามืดในวันต่อมาจึงเก็บข้าวเก็บของเรียบร้อย กะว่าจะไปขอสึกต่อเจ้าคณะอำเภอ
พอเปิดกุฏิออกมา หมา แมว เป็ด ไก่ ห่าน เหมือนจะรู้ด้วยสัญชาติญาณ
พากันมาพันแข้งพันขาหลวงพ่อชื้น โดยพร้อมเพรียงกัน เห่าร้องกันเซ็งแซ่
หลวงพ่อชื้น จึงคิดว่า
ถ้าเราสึกออกไป ใครจะดูแลเลี้ยงสัตว์เหล่านี้ คงจะอดมื้อกินมื้อ แล้วตายไป ก่อนถึงกาลอันควร
จึงกลับเข้าไปในกุฏิ คว้าบาตรขึ้นสะพายออกไปบิณฑบาต ต่อจากนั้นก็ไม่คิดสึกอีก
และถือว่าสัตว์เหล่านี้ มีบุญคุณที่ให้มีบุญได้อยู่ในร่มผ้ากาสาวพัสตร์ต่อไป
จนท่านได้บรรลุธรรมในบั้นปลายของชีวิต
กุฏิของท่านปัจจุบันนี้ ไก่ เป็ด หมา แมว ห่าน จึงพากันเด่นเพ่นพ่านอย่างเสรี
บางตัวที่ไร้มารยาทก็จะถ่ายมูลไว้ทั่วไป เป็นที่รำคาญแก่ผู้ที่ไปกราบไหว้ และนึกไปต่าง ๆ นานา
เกจิอาจารย์ที่มีชื่อ
หลังจากนั้น ชาวอยุธยา ก็ถือว่าท่านเป็นเกจิอาจารย์ผู้หนึ่ง ที่รอบรู้พุทธเวทย์วิทยาคม
เมื่อมีพิธีปลุกเสก หรือพุทธาภิเษก ณ ที่ใด จะมาอาราธนาให้ท่านไปร่วมในพิธีด้วยเสมอ
ตั้งแต่พิธีปลุกเสกเหรียญมงคลบพิตร ที่วัดพนัญเชิง ปี พ.ศ. 2485 ซึ่งขณะนั้นหลวงพ่อชื้นอายุได้ 35 ปี
ร่วมในพิธีฉลองการบูรณะเจดีย์
เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2490 จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ผู้มีอำนาจสูงสุด
ได้มีคำสั่งให้ทำการบูรณะตกแต่งเจดีย์วัดวาอารามต่าง ๆ ในตัวจังหวัด
และประมาณปี พ.ศ. 2495 ได้ทำพิธีฉลองอย่างเป็นทางการหลังบูรณะ
มีพิธีเปิดแพรคลุมป้าย และเข้าเยี่ยมชมผลงาน....
พระเกจิอาจารย์ต่าง ๆ มาร่วมสวดชัยมงคลคาถา หลวงพ่อชื้น ท่านก็ได้รับนิมนต์ให้มาร่วมพิธีด้วย
ท่านเล่าว่า ได้มีหญิงชาวบ้านวัยกลางคนผู้หนึ่งล้มลงชักดิ้นชักงอ ประเดี๋ยวหนึ่ง ก็ลุกขึ้นวิ่งไปที่หน้าปะรำพิธี
กระทืบเท้าชี้หน้าด่าจอมพล ป.พิบูลสงคราม ว่า
พวกมึงเอาปูนมาโบกทับพวกกูทำไม กูออกไปไหนมาไหนไม่ได้
ทั้งข้าราชการทั้งพระต่างตกตะลึงกันหมด
หลวงพ่อชื้น จึงลุกขึ้นตอบผีเจ้าถิ่นว่า
อ้าวก็ทางการเขาทำไปบ้านเมืองสวยงาม พวกมึงไม่ชอบหรือไง
หญิงผีสิงคนนั้น หันมามองหน้าหลวงพ่อชื้น สักครู่แล้ว ก็ล้มลง
มีผู้คนมาประคองกันออกไป ว่าเป็นลมไม่รู้สึกตัว
สหธรรมิก เกจิอาจารย์ที่สนิทกันมาก คือ
หลวงพ่อเพิ่ม วัดแค อ.ท่าเรือ อยุธยา ศิษย์ร่วมอาจารย์
เหตุการณ์หลังปี พ.ศ. 2500
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า หลวงพ่อชื้น ท่านได้พบอาจารย์ดี ชื่อ....
พระอาจารย์เตชะธัมโม ธัมมวาที
มาสอนแนวทางปฏิบัติ เพื่อให้พ้นทุกข์ ไปสู่พระนิพพาน
หลังจากที่หลวงพ่อชื้น ปฏิบัติได้แล้ว ก็ละทิ้งไสยศาสตร์ แนวทางปฏิบัติแบบเก่า
หลังจากท่านทำพระเครื่องรุ่นแรก แจกแก่ชาวบ้าน เมื่อปี พ.ศ. 2500 แล้ว
ท่านก็เลิกพิธีกรรมต่าง ๆ รับแขกน้อยลง ปิดห้องนั่งปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน อยู่แต่ในกุฏิ
บางวันท่านก็ไม่รับแขก หรือออกมาดูผู้ที่มาหา แล้วก็แนะนำให้อาจารย์ องค์อื่นรับแทน
จริยาวัตร
จริยาวัตรบางอย่างของท่านเปลี่ยนไป
ซึ่งไปคล้ายกับหลวงพ่อโอภาสี แห่งอาศรมบางมด
หรือ หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง นครปฐม
วิชาที่เรียนมาครั้งแรก กับวิชาบริสุทธิ์ ในครั้งหลัง หักล้างกัน
เช่นท่านไม่ลงโบสถ์ ทำวัตรเช้า-เย็นร่วมกับพระภิกษุอื่น ท่านทำของท่านในกุฏิ
ท่านไม่ไหว้พระสงฆ์ด้วยกัน ไม่ว่าพระผู้นั้น จะมีสมณะศักดิ์มากเพียงใด
ลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาส ขอเป็นเพียงพระลูกวัด เพื่อมีเวลาปฏิบัติธรรม
ไม่ยอมรับสมณะศักดิ์ เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอที่ได้รับแต่งตั้งมา...
บทความเรื่องราวประวัติ หลวงปู่ชื้น วัดญาณเสนนี้ได้รับความเมตตาจากท่านมหาหินแห่งเวปพลังจิต ส่งลิ้งค์มาถึงกระผม กระผมพิจารณาแล้วว่าดี มีสาระประโยชน์ในการเผยแพร่กิตติคุณแห่งอริยสงฆ์ ...
หากมีข้อผิดพลาดใดๆต้องกราบขออภัยแด่ท่านผู้รู้และคณะศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่ชื้นมา ณ ที่นี้ด้วยครับ และขอขอบคุณท่านมหาหินที่นำเรื่องราวดีๆมาเผยแพร่สู่เหล่าพุทธศาสนิกชนอยู่เสมอมา.... |
|