ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : ข้อคิดสะกิดใจ...

(D)
โดยพระพยอม
เทศนานอกธรรมมาสน์ โดย พระพยอมกัลยาโณ

ตัวกู ของกู
พระพุธเจ้าท่านสอนว่า?
ทุกข์มี..เพราะ..มีเรา..
เรามี..เพราะ..มีอุปาทาน..คือความยึดมั่นถือมั่น?ว่ามีตัวกูของกู
อุปาทาน..ยึดถือว่าเป็นตัวกู..อย่างหนึ่ง
อุปาทาน..ยึดถือว่าเป็นของกู..อย่างหนึ่ง
เช่น?สิวขึ้นที่ไหน..ทำให้เราเป็นทุกข์มากที่สุด..?
ขึ้นที่..หน้ากู..
เราเป็นทุกข์เพราะสิวเม็ดนั้นมันปวด?.ทุกข์เพราะมันขึ้นที่หน้ากู?
ทำให้กูไม่สวย?เม็ดก็ใหญ่..
ต่อให้เม็ดใหญ่กว่านี้..แต่ไปขึ้นที่หน้าคนอื่น..เป็นทุกข์ไหม..?
ที่เราทุกข์ เพราะว่า?.มันใหญ่ที่หน้ากู

กูว่าแล้ว


วิธีลดอุปาทานนี่นะ?.เราต้องดับความรู้สึกเป็นตัวกูออก?
พระพุทธเจ้าให้หลักเกณฑ์ไว้ว่า?

ให้พิจารณาอยู่เนืองๆว่า?เราจะต้องมีการพลัดพรากจากของรัก..ของชอบใจเป็นธรรมดา
?
อาจารย์ที่นั่งข้างหน้านี่ก็อายุมากแล้ว?.ไม่ได้แช่งนะ?
เสื้อที่อาจารย์ใส่นี่?เป็นสมบัติของอาจารย์ใช่ไหม..?
วันหนึ่ง?มันไม่จากอาจารย์ไป?อาจารย์ก็ต้องจากมันไป?
มันไม่จากอาจารย์..หมายความว่า..มันขาดพังไป.
อาจารย์จากมันไปก็คือ?ต้องตายจากมันไป..
มันเป็นอย่างนี้ใช่ไหม..?

ถ้าพิจารณาได้อย่างนี้?พอถึงวันที่มันจากเราไปจริงๆ?ก็ดีดนิ้ว?กูว่าแล้ว..มันต ้องจากเราไป..
ไม่ต้องมาตีอกชกตัว?เขกหัวร่ำไห้?
สุขทุกข์?อยู่ที่ใจ?มิใช่หรือ
ถ้าใจถือ?ก็เป็นทุกข์?ไม่สุกใส
ถ้าไม่ถือ?ก็เป็นสุข?ไม่ทุกข์ใจ
ฉะนั้นเรา?อยากได้ทุกข์?หรือสุขนา

คนเนรคุณ
อาตมามีคำถามถามว่า?พ่อแม่คือใคร?
มีอยู่คนหนึ่งตอบว่า?.
แม่คือผู้แบ่งเลือด เนื้อ ชีวิต ร่างกาย ของแม่ให้แก่ลูก? 3
กิโลบ้าง?
5กิโลบ้าง
พ่อ..คือผู้นำหยาดเหงื่อแรงงาน

ความยากลำบากเข้าแลกกับเงิน?เพื่อเอามาเลี้ยงครอบครัวให้ทุกคนมีความสุข?.
อาตมาถามต่อว่า?
กว่าคุณจะโตมาถึงขนาดนี้?กว่าจะมีน้ำหนัก 50
กิโล?.คุณจะต้องกินอาหารมากไหม?
มากครับ?.
แล้วนมสด
อาหาร..ที่คุณกิน..มันลอยมาเองหรือต้องมีคนเอาหยาดเหงื่อแรงงาน
และความทุกข์ยาก..ไปแลกมาให้?
มีพ่อแม่?เอามาให้ครับ..
แล้วคุณเคยตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่บ้างหรือยัง?
เคยเลี้ยงดูท่านเหมือนที่ท่านเลี้ยงดูเราไหม? เคยทุกข์ยากลำ
บากเพื่อเอาเงินมาเลี้ยงท่านให้มีความสุขเหมือนที่เรามีหรือยัง??
ยังครับ?
นั่น..เขาเรียกว่ายังไม่ได้แทนคุณ..
เคยทำให้ท่านโกรธหรือทำให้ท่านทุกข์ใจไหม?
เคยหลายครั้งครับ?
อย่างนี้เรียกว่านอกจากไม่ได้แทนคุณแล้วยังเนรคุณด้วย?นะโยม

หมากัดเจ้าของ

เช้าวันหนึ่ง?เณรไปรับบิณฑบาตบ้านยายชื้น?เห็นหมายายชื้นกัดยายชื้นเอง?
เณรจึงถามว่า?โยม..หมาใครน่ะ..?
หมาฉันเองจ๊ะ?
แล้วทำไมจึงกัดโยมล่ะ..?
หน้านี้มันกำลังเป็นสัด?ติดตัวเมียอยู่?
มันนึกว่าฉันจะไปแย่งตัวเมียของมัน..
ดูเอาเถอะ?อานุภาพแห่งกามราคะมันยิ่งใหญ่ขนาดไหน..?
ยิ่งใหญ่ขนาดเนรคุณคนเลี้ยงมันได้
มนุษย์เราก็เหมือนกัน?ลองคิดดูสิ?พอแตกเนื่อหนุ่มเนื้อสาว?
เริ่มมีแฟน..พาแฟนมาเที่ยวบ้าน

แม่พิจารณาดูแล้วว่า?แฟนของลูกคนนี้ไม่น่าจะเป็นคนดี..จะทำให้ลูกเราเดือดร้อน.
.
ด้วยความรักลูก จึงพูดกับลูกว่า? ?แม่ว่าอย่าคบกับคนนี้เลยลูก แม่ไม่ค่อยชอบ?..
แค่นั้นแหล่ะ..ตะเพิดแม่เลย..?แม่ไม่ต้องมายุ่ง..เรื่องของฉัน?
เห็นไหม?.พอติดสัด มันหันมากัดเจ้าของเลย

โดยคุณ anan6699 (16.9K)  [ศ. 12 ต.ค. 2550 - 20:39 น.]



โดยคุณ anan6699 (16.9K)  [ศ. 12 ต.ค. 2550 - 20:39 น.] #164314 (1/14)
เรื่อง ชาวนากับลาแก่


ณ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวนาคน
หนึ่งเลี้ยงลาไว้ตัวหนึ่งซึ่งแก่มากแล้ว
วันหนึ่งชาวนาได้พาเจ้าลาแก่ออกไปข้างนอก
ด้วยความโง่เขลาของมันดันเดินซุ่มซ่ามไปตกบ่อแห่งหนึ่ง
มันร้องครวญครางเป็นเวลาหลายเพลา
ชาวนาเองก็พยายามใคร่ครวญหาวิธีที่จะช่วยมันขึ้นมา
ในที่สุดชาวนาหวนคิดขึ้นมาได้ว่า
เจ้าลาก็แก่เกินไปแล้วอีกอย่างบ่อนี้ก็ต้องกลบ
ไม่คุ้มที่จะช่วยเจ้าลา
ชาวนาจึงไปขอแรงชาวบ้านเพื่อมาช่วยกลบบ่อ
ทุกคนใช้พลั่วตักดินสาดลงไปในบ่อ
ครั้งแรกเมื่อดินไปถูกหลังลามันตกใจและรู้ชะตากรรมของตนทันที
มันร้องโหยหวนทันที สักพักหนึ่งทุกคนก็แปลกใจที่เจ้าลาเงียบไป
หลังจากที่ชาวนาตักดินใส่ไปในบ่อได้สัก
สองสามพลั่วก็เหลือบมองลงไปในบ่อ
ก็พบกับความประหลาดใจที่ว่า
>ทุกครั้งที่ทุกคนสาดดินไปถูกหลังลามันจะสะบัดดินออกจากหลัง
>แล้วก้าวขึ้นไปเหยียบบนดินเหล่านั้น
ยิ่งทุกคนพยายามเร่งระดมสาดดินลงไปมากเท่าไรมันก็ก้าวขึ้นมาได้เร็วมากยิ่งขึ ้น
ในไม่ช้าทุกคนต่างประหลาดใจที่เจ้าลาในที่สุดก็สามารถหลุดพ้นจากปากบ่อดังกล่ าวได้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “
ชีวิตนี้อุปสรรคต่างๆที่ถาโถมเข้ามาหาเราก็เปรียบเสมือนดินที่สาดเข้ามาหาเรา
จงอย่าท้อถอยและยอมแพ้จงแก้ไขมัน
เพื่อที่เราจะได้เหยียบมันเพื่อที่จะก้าวสูงขึ้นเรื่อยๆ
เปรียบเสมือนลาแก่ที่หลุดพ้นจากบ่อได้ฉันใดฉันนั้น”

โดยใช้ความพยายามอย่างสูงในการพิมพ์ภาษาไทย โดยเฉพาะการหาอักษร “ธ”

โดยคุณ anan6699 (16.9K)  [ศ. 12 ต.ค. 2550 - 20:41 น.] #164315 (2/14)
สุ ข จ า ก ก า ร ใ ช้ ท รั พ ย์


ทุกๆ คนมีความสุข เมื่อแสวงหาทรัพย์มาได้
หลายๆ คนมีความสุขกับการครอบครองหวงแหนทรัพย์นั้นไว้
ในขณะที่อีกหลายๆ
คนก็มีความสุขกับการใช้จ่ายทรัพย์นั้น

แท้จริงแล้วเราจะแสวงหาความสุขจากทรัพย์สินได้
ด้วยวิธีการใด ทำอย่างไร
เราจึงจะได้รับความอิ่มกายอิ่มใจ
จากทรัพย์ของเราให้ได้มากที่สุด

มีนกแขกเต้าฝูงหนึ่งประมาณ ๕๐๐ ตัว
อาศัยอยู่ในป่างิ้วบนยอดเขาแห่งหนึ่ง
เมื่อถึงเวลาหากิน
ฝูงนกแขกเต้าต่างพากันบิน
ไปกินข้าวสาลีในนาของชาวมคธ เมื่อกินข้าวสาลีอิ่มแล้ว
ต่างก็บินกลับรังด้วยปากเปล่าๆ ทั้งนั้น
ส่วนพญานกแขกเต้าที่เป็นหัวหน้า

เมื่อกินอิ่มแล้ว ยังต้องคาบข้าวสาลีอีก ๓ รวงกลับไปด้วย
ชาวนาเห็นก็แปลกใจ
จึงพยายามดักจับพญานกแขกเต้าให้ได้
ด้วยการสังเกตที่ยืนของพญานกนั้น
แล้ววางบ่วงดักไว้วันหนึ่ง
พญานกถูกจับได้ ชาวนาจึงถามพญานกว่า
นกเอ๋ย ท้องของท่านคงจะใหญ่กว่าท้องของนกอื่น
เพราะเมื่อท่านกินอิ่มแล้ว ยังต้องคาบรวงข้าว
กลับไปอีกวันละ ๓ รวง
เป็นเพราะท่านมียุ้งฉางหรือเป็นเพราะเรามีเวรต่อกันมาก

พญานกตอบว่า
ข้าพเจ้าไม่ได้มียุ้งฉาง และเราก็ไม่มีเวรต่อกัน
แต่ที่คาบไป ๓ รวงนั้น รวงหนึ่งเอาไปใช้หนี้เก่า รวง
หนึ่งเอาไปให้เขากู้ และอีกรวงหนึ่งเอาไปฝังไว้

ชาวนาได้ฟังก็เกิดความสงสัย จึงถามว่า
ท่านเอารวงข้าวไปใช้หนี้ใคร เอาไปให้ใครกู้
และเอาไปฝังไว้ที่ไหน

พญานกแขกเต้าจึงตอบว่า
รวงที่หนึ่งเอาไปใช้หนี้เก่า
คือเอาไปเลี้ยงดูพ่อแม่ เพราะท่านแก่แล้ว
และเป็นผู้มีพระคุณอย่างมาก
ทั้งให้กำเนิดและเลี้ยงดูข้าพเจ้าจนเติบใหญ่
นับว่าข้าพเจ้าเป็นหนี้ท่านจึงสมควรเอาไปใช้หนี้

รวงที่สองเอาไปให้เขากู้ คือ
เอาไปให้ลูกน้อยทั้งหลายที่ยังเล็กอยู่
ไม่สามารถหากินเองได้
เมื่อข้าพเจ้าเลี้ยงเขาในตอนนี้
ต่อไปยามข้าพเจ้าแก่เฒ่า
เขาก็จะเลี้ยงตอบแทน จัดเป็นการให้เขากู้

รวงที่ สามเอาไปฝังไว้ คือ
เอาไปทำบุญด้วยการให้ทานกับนกที่แก่ชรา
นกที่พิการหรือเจ็บป่วยไม่สามารถหากินได้ เท่า
กับเอาไปฝังไว้ เพราะบัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า
การทำบุญเป็นการฝังขุมทรัพย์ไว้

ชาวนาฟังแล้วเกิดความเลื่อม! ใสว่า
นกนี้เป็นนกกตัญญต่อพ่อแม่
เป็นนกมีความเมตตาต่อลูกน้อย และเป็นนกใจบุญ มีปัญญา
รอบคอบ มองการณ์ไกล

พญานกได้อธิบายต่อไปว่า
ข้าวสาลีที่ข้าพเจ้ากินเข้าไปนั้น
ก็เปรียบเหมือนเอาทิ้งลงไปในเหว ที่ไม่รู้จักเต็ม
เพราะ
ข้าพเจ้าต้องมากินทุกวัน วันนี้กินแล้ว
พรุ่งนี้ก็ต้องมากินอีก
กินเท่าไหร่

ก็ไม่รู้จักเต็ม จะไม่กินก็ไม่ได้
เพราะถ้าท้องหิวก็เป็นทุกข์

ชาวนาฟังแล้วจึงกล่าวว่า
พญานกผู้มีปัญญา ทีแรกข้าพเจ้าคิดว่า
ท่านเป็นนกที่โลภมาก
เพราะนกตัวอื่นเขาหากินเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เขาก็ไม่คาบอะไรไป
ส่วนท่านบินมาหากินแล้วก็ยังคาบรวงข้าวกลับไปอีก
แต่พอฟังท่านแล้ว
จึงรู้ว่าท่านไม่ได้คาบไปเพราะความโลภ
แต่คาบไปเพราะความดี คือเอาไปเลี้ยงพ่อแม่
เอาไปเลี้ยงลูกน้อย
และเอาไปทำบุญ ท่านทำดีจริงๆ

ชาวนามีจิตเลื่อมใสในคุณธรรมของพญานกมาก
จึงแก้เครื่องผูกออกจากเท้าพญานก ปล่อยให้เป็นอิสระ
แล้วมอบนาข้าวสาลีให้
พญานกรับนาข้าวสาลีไว้เพียงส่วนหนึ่ง
ซึ่งกะคะเนแล้วว่าเพียงพอแก่บริวาร
จากนั้นจึงให้โอวาทแก่ชาวนาว่า

ขอให้ท่านเป็นผู้ไม่ประมาท
หมั่นสั่งสมกุศลด้วยการทำทาน
และเลี้ยงดูพ่อแม่ผู้แก่เฒ่าด้วยเถิด


ชาวนาได้คติจากข้อปฏิบัติของพญานกจึงตั้งใจทำบุญกุศลตั้งแต่นั้นมาจนตลอดชีวิต

นกแขกเต้า ผู้มีปัญญา รู้ว่าควรบริหารจัด
การทรัพย์สินอย่างไร จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด
ทั้งต่อตนเอง ต่อครอบครัว
และต่อสังคม นับเป็นการใช้ทรัพย์อย่างชาญฉลาด
ที่ยิ่งใช้ก็ยิ่งมี
ความสุขความเจริญ สุขทั้งกาย สุขทั้งใจ
สุขทั้งในปัจจุบัน และอนาคต

เราทุกคนเมื่อรู้จักเก็บ รู้จักหาทรัพย์แล้ว
ก็ควรจะรู้จักหาความสุขจากการใช้ทรัพย์อย่างถูกต้องด้วย
เพราะการแสวงหาหรือครอบครองทรัพย์สินที่มี
ไม่อาจสร้างความสุขใจ ไม่อาจทำให้เกิดบุญกุศลได้
เทียบเท่ากับการใช้ทรัพย์นั้นจะให้เกิดคุณค่าอย่างแท้จริงต่อชีวิต

โดยคุณ anan6699 (16.9K)  [ศ. 12 ต.ค. 2550 - 20:42 น.] #164316 (3/14)
ธรรม กับ การบริหารเวลา

"สัพพะทานัง ธรรมะทานัง ชินาต การให้ธรรมะ เป็นทานชนะ การให้ทาน ทั้งปวง"

ชีวิตคนเรา เมื่อพิจารณาให้ดีแล้ว มันสั้นนัก มีเกิดและดับ เป็นธรรมดาโลก แต่ในขณะ ที่ยังมี
ชีวิตอยู่นี่สิ มนุษย์ผู้มีปัญญา จึงควรที่จะดำรงชีวิต อย่างชาญฉลาด พระพุทธเจ้า เคยอบรมสั่งสอน
มนุษย์ไว้ว่า ทรัพย์สิน ที่พึงได้
จากการประกอบกิจการ งานต่างๆนั้นควรแบ่งออกเป็น 4 กอง เท่าๆ กัน
กองแรก เก็บสะสมไว้ใช้ยามขัดสน
กองสอง ใช้จ่ายเพื่อทดแทนผู้มีพระคุณ
กองสาม ใช้เพื่อความสุขส่วนตัว
กองสี่ ใช้เพื่อสร้างสรรค ์ความดีงาม ให้แก่สังคม

แล้วการทำงาน ของมนุษย์ล่ะ คนเรามักบ่นเสมอว่าง "ไม่มีเวลาๆ"
แท้จริงแล้ว คนเรามีเวลา มากถึง 24 ชม. เพียงแต่เราจะ บริหารเวลาอย่างไร จึงจะให้แก่คน
รอบข้าง และทุกภารกิจ ได้อย่างเสมอภาคกัน หากแต่หลายๆ คนยังมัววุ่น แก่การทำงาน
โดยไม่ยอมแบ่งเวลา เหลียว หลังมองถึงบุคคลที่รัก และห่วงใย ตนเองเลยหรือ???


บางคนทุ่มเวลา ทั้งหมดให้แก่หน้าที่การงาน อย่างเอาเป็นเอาตาย พร้อมกับคิดว่า การกระทำ
ดังนี้ เป็นเรื่อง ที่ถูกต้องแล้ว แต่นั่น คือ การกระทำ ที่โง่เขลา เป็นที่สุด ทุกคน มีเวลาวันละ
24 ชั่วโมงเท่าๆ กัน แต่ผู้ใดที่ทุ่มเวลา ทั้งหมด ให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยเฉพาะงาน ของตนเอง
โดยไม่ยอม แบ่งปันเวลา ให้แก่ผู้ใด แม้กระทั่งตัวเอง เป็นผู้ที่เขลาเบาปัญญาที่สุด

หากบริหารไม่ได้ แม้กระทั่งเวลา 24 ชั่วโมงของตัวเอง ในแต่ละวัน แล้ว คนผู้นั้น จะบริหาร
อะไรได้ ทำไมคุณ จึงไม่แบ่งปันเวลา ให้เสมือนหนึ่ง การแบ่งปัน กองเงิน ตามคำสั่งสอน ของ
พระพุทธเจ้าบ้างเล่า... ไม่ต้องแบ่งเวลา ให้เป็นสี่กองเท่าๆ กันหรอก
เพียงแต่แบ่งปันเวลา ในแต่ละส่วน ให้เหมาะสมเท่านั้น
8 ชั่วโมง สำหรับ การทำงาน เพื่อความก้าวหน้ามั่นคง ในชีวิต
8 ชั่วโมง สำหรับ การพักผ่อนเก็บเรี่ยวแรง ไว้ต่อสู้ กับหน้าที่การงาน และอุปสรรค ในวันพรุ่ง
5 ชั่วโมงสำหรับการเดินทาง เพื่อประกอบกิจการต่างๆ
2 ชั่วโมงสำหรับโลกส่วนตัวของตนเอง
59 นาที สำหรับดูแล และรักษาความสะอาด ของที่อยู่อาศัยและ ช่วยเหลือสังคม และ 1 นาทีของคุณ ที่มอบให้กับ คนที่รักและ ห่วงใยคุณ โดยไม่นำเวลาอื่น เข้ามาเกี่ยวข้อง

เพราะเพียง 1 นาทีนี้ มันมีค่า มากเกินกว่าคณานับได้ ในความรู้สึก ของเขาคนนั้น จงอย่า
กล่าวว่า"ไม่มีเวลา..."

เพราะเวลา เป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุด ในโลกนี้ ที่มีให้แก่มนุษย์ มนุษย์ทุกคน มีเวลาวันละ 24 ชั่ว
โมงเท่าๆ กัน ไม่มีใคร มีเวลามาก และไม่มีใคร มีเวลาน้อยไปกว่านี้ 24 ชั่วโมงใน 1 วัน
ที่ มหาเศรษฐี หรือยาจก มีเท่าเทียมกัน ไม่ขาดเกิน แม้แต่เศษเสี้ยว
ของวินาที ด้วยเหตุนี้

มนุษย์ผู้ใด ที่กล่าวว่า "ไม่มีเวลา" จึงเป็นผู้ล้มเหลว ในการบริหารเวลา 24 ชั่วโมง ในแต่ละ
วัน ของตนเอง อย่างสิ้นเชิง และใช้คำว่า "ไม่มีเวลา" เป็นข้อแก้ตัว เพื่อปกปิด ความล้ม
เหลว เรื่องเวลา ของตนเอง อย่างขลาดเขลา มนุษย์ผู้ฉลาด และ ประสบ ความสำเร็จ ใน
ชีวิต จึงไม่ใช่ผู้ที่เก่ง แต่การทำงาน อย่างเดียว แต่มนุษย์ผู้ฉลาด และประสบ ความสำเร็จ ใน
ชีวิต ต้องเป็นผู้ ที่รู้จักแบ่งสัดส่วน เวลาวันละ 24 ชั่วโมง ของตนเอง ได้อย่างลงตัว วันละ
24 ชั่วโมง ของตนเอง ที่มีไว้สำหรับ การทำงาน การพักผ่อน การเดิน ทาง มิตรภาพ ความรัก
ความอบอุ่น ความห่วงใย ความเอื้ออาทร ฯลฯ โดยไม่ขาดตก บกพร่อง แม้แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่
เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิต

นี่แหละ คือ มนุษย์ผู้ชาญฉลาด ที่รู้จัก "ใช้เวลา" แล้ววันนี้.. คุณจะยัง อ้างเหตุผลว่า "ไม่มี เวลา" อีกหรือ?

โดยคุณ ชมดาวโคราช (4.7K)  [ศ. 12 ต.ค. 2550 - 22:04 น.] #164344 (4/14)

โดยคุณ noklek (2K)  [ศ. 12 ต.ค. 2550 - 22:20 น.] #164354 (5/14)

โดยคุณ เงิน-เพิ่ม-พูน (622)  [ศ. 12 ต.ค. 2550 - 23:36 น.] #164394 (6/14)
บรรลุโซดาบันเลย ...
อ่านแล้วคิดได้อีกเยอะครับ

โดยคุณ apimuk (1.5K)  [ส. 13 ต.ค. 2550 - 00:17 น.] #164404 (7/14)
ดีมากครับ

โดยคุณ PROMLOK (6.1K)  [ส. 13 ต.ค. 2550 - 01:02 น.] #164417 (8/14)
ขอบคุณครับ

โดยคุณ ขาจรประจำ (643)(1)   [ส. 13 ต.ค. 2550 - 08:00 น.] #164442 (9/14)
ไม่ใช่บรรลุโซดา -ผสมเหล้า นะครับ ฮิฮิ

โดยคุณ ณัฐพร (157)  [ส. 13 ต.ค. 2550 - 10:24 น.] #164467 (10/14)

โดยคุณ nui21 (5.1K)  [อา. 14 ต.ค. 2550 - 01:46 น.] #164900 (11/14)
ยอยเยี่ยมมากๆครับ...ขอบคุณมากครับ

โดยคุณ digitalsale (2.4K)(1)   [อา. 14 ต.ค. 2550 - 20:30 น.] #165190 (12/14)
อ่านแล้วซึ้งงงงคร้าบบ

โดยคุณ apisan (3)  [อ. 16 ต.ค. 2550 - 11:04 น.] #166258 (13/14)
ขอบคุณมากครับ

โดยคุณ ic018 (126)  [พ. 17 ต.ค. 2550 - 10:10 น.] #166653 (14/14)


(D)
เยี่ยมจริงๆๆๆๆ

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM
www5