ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : แย่เลยเน๊อะ...ญาติโยม ที่เคารพและนับถือ



(D)


ถ้าท่านญาติโยมที่เคารพนับถือ ได้เข้ามาดูคลิป VDO นี้ แล้วจะคิดยังไงเน้อ...?


http://www.vidth.com/video/87

ศาสนา คือเครื่องยึดเหนี่ยว และเหนี่ยวรั้งจิตใจ ให้มนุษย์ในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เมตตาเกื้อหนุนค้ำจุนต่อกัน มนุษย์จึงจำเป็นต้องพึ่งพิงศาสนา ตั้งแต่เกิดจนตาย ดังนั้น อย่าทำร้ายศาสนา ด้วยความคึกคนองอย่างนี้เลย ! สาธุ จง อภัย . !

โดยคุณ ศิษย์กรุทอง (371)  [ศ. 28 ก.ย. 2550 - 10:18 น.]



โดยคุณ apisan (3)  [ศ. 28 ก.ย. 2550 - 12:19 น.] #157191 (1/13)

โดยคุณ ic018 (126)  [ศ. 28 ก.ย. 2550 - 13:17 น.] #157213 (2/13)

โดยคุณ suankularb (315)  [ศ. 28 ก.ย. 2550 - 13:32 น.] #157219 (3/13)

โดยคุณ apimuk (1.5K)  [ศ. 28 ก.ย. 2550 - 17:22 น.] #157296 (4/13)
ก็แค่มนุษย์ตนหนึ่งในผ้าเหลือง

โดยคุณ panapop (178)  [ศ. 28 ก.ย. 2550 - 21:41 น.] #157435 (5/13)
ไม่เกรงผ้าเหลืองที่ห่มอยู่เลย....
ก่อนห่มผ้าเหลือง น่าจะมีสำเนียกสักนิด
ว่าอยู่ ณ. ที่ใด มีหน้าที่อะไร
ตอนที่จะบวช เค้าให้ศึกษาก่อนก็ไม่ศึกษา
นี่แหละหนา....... ไม่รู้จะไปหากินอะไร
ก็โกนหัวห่มผ้าสีเหลืองๆ
หากินง่ายดี อย่างน้อยก็มีข้าวกินแน่ๆ.....

โดยคุณ ขาจรประจำ (643)(1)   [ศ. 28 ก.ย. 2550 - 22:00 น.] #157449 (6/13)
ผมเปิดไม่ได้ครับ จริงๆ (เน็ตห่วยหรือเปล่า ทั้งๆ ที่สมัครเพื่อล็อคอินเข้าไปแล้ว ฮิฮิ)

ผมกลัวว่า เพื่อนสมาชิกบางคนหรือหลายๆ คน จะเป็นบาปเป็นกรรมไปโดยไม่รู้ตัวนะครับ
จึงขอเสนอว่า ทุกวงการก็มีดี มีเลว เพราะกิเลสมันไม่เข้าใครออกใครจริงๆ (แม้แต่เวบจีพระของเราครับ เอาง่ายๆ ใกล้ๆ ตัว รู้ๆ กันอยู่) มีทั้งคนดี และคนเลว ในวงการพระ เมื่อท่านไม่อยู่ในศีลในธรรม ท่านก็เดือดร้อนหรือร้อนตัวของท่านเองละครับ อยู่ไม่ได้หรอก (แม้จะปกปิดหรือปิดบังตัวยังไง สักวันก็ต้องปรากฏดังมีข่าวปรากฏให้เห็นตามสื่อ) เหมือนขยะที่อยู่ในทะเล สุดท้ายก็ต้องถูกทะเลซัดขึ้นมาบนฝั่งครับ นี่ถือเป็นความมหัศจรรย์ของพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าที่ไม่รักษาหรือเก็บคนทำชั่วไว้ครับ (แต่จะช้าหรือเร็วก็อีกเรื่องหนึ่ง )

เพราะฉะนั้น เมื่อท่านทำชั่วเองท่านก็เดือดร้อนเองครับ หรือเป็นบาปเป็นกรรมแก่ท่านเองแน่นอน (อย่าเข้าใจว่านั่นเป็นความสุขของท่าน เพราะในที่สุดความชั่วย่อมให้ผลเป็นทุกข์เสมอ ไม่ว่ากาลไหนๆ) เราไม่ต้องไปด่า ไปว่า หรือตำหนิอะไรหรอก เพราะไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น คนทำเลวก็ยังเลวอยู่ ท่านไม่รู้ไม่ได้ยินคำด่าของเราด้วยซ้ำ อย่างมากก็แค่สนุกปากตัวของเราเองก็เท่านั้น

เพราะฉะนั้น ก็หยุดเสีย เราก็จะได้ไม่ต้องเป็นบาปเป็นกรรมที่เกิดจากการด่าการประณามคนอื่นติดตัวเราครับ

แบบนี้จะดีไหม ...

โดยคุณ ขาจรประจำ (643)(1)   [ศ. 28 ก.ย. 2550 - 23:04 น.] #157468 (7/13)
แต่ก็น่าเห็นใจท่านอยู่เหมือนกัน หลายๆ กลุ่มก็ไม่ได้บวชเรียน (ซึ่งจะได้เขียนต่อไปให้ชัดๆ ว่าที่ว่าบวชเรียนนี้คือเรียนอะไร) อาจบวชมาเพื่อมุ่งอย่างอื่น เช่น บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อนเป็นต้น แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ต้องการบวชเรียนจริงๆ

การเรียนของพระเณร ผมขอจำแนกอย่างนี้ครับ

1. สายนักธรรม (เรียกเต็มๆว่า พระปริยัติธรรมแผนกธรรม)

กำกับดูแลการศึกษาส่วนนี้โดยสำนักงานแม่กองธรรมสนามหลวง วัดบวรนิเวศวิหาร กทม. แต่ในการเรียนการสอนนั้นก็ให้แต่ละวัดทั่วประเทศที่เป็นสำนักเรียนจัดการเรียนการสอนเอาเองและส่งชื่อสอบในนามวัดของตนหรือวัดที่เป็นสำนักเรียน (ไม่ต้องมาสอบที่ กทม.) โดยมีพระภิกษุ/สามเณรที่เรียนจบมาแล้วเป็นครูสอน, วัดบ้านนอกหาครูสอนยาก ก็จะไม่มีการเรียนการสอน ใครอยากเรียนก็ต้องขวนขวายหาทางมาในวัดที่เขามีสอนครับ เพื่อความรู้/อนาคต)

นักธรรมมี 3 ชั้น ด้วยกัน คือ นักธรรมชั้นตรี นักธรรมชั้นโท นักธรรมชั้นเอก เนื้อหาวิชาหรือหลักสูตรที่เรียนประกอบไปด้วยวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม (อธิบายพุทธภาษิที่กำหนดให้) วิชาพุทธประวัติ/อนุพุทธประวัติ (ประวัติพระสาวก)/พุทธานุพุทธประวัติ วิชาธรรมวิภาค/ธรรมวิจาร วิชาวินัย (ว่าศีลหรือวินัยข้อบังคับของพระ 227 ข้อ และเณร 10 ข้อ รวมทั้งข้อเบ็ดเตล็ดอื่นๆ เช่น การฉันข้าว การปัสสาวะ ฯลฯ วิชาบุรพภาค (งานหนังสือ) รวมแล้วประมาณชั้นละ 4 หรือ 5 วิชา

การนักธรรมนั้น ใช้เวลาเรียนชั้นละ 1 ปี (รวม 3 ชั้นก็เป็น 3 ปี) เว้นเสียแต่ใครจะสอบไม่ผ่านก็ต้องเรียนซ้ำชั้น

2. สายบาลี (เรียกเต็มๆว่า พระปริยัติธรรมแผนกบาลี)

กำกับดูแลการศึกษาส่วนนี้ โดยสำนักงานแม่กองบาลีสนามหลวง วัดปากน้ำภาษีเจริญ กทม.
แต่ในการเรียนการสอนนั้นก็ให้แต่ละวัดทั่วประเทศที่เป็นสำนักเรียนจัดการเรียนการสอนเอาเองและส่งชื่อสอบในนามวัดของตนหรือวัดที่เป็นสำนักเรียน (ตั้งแต่ประโยค 5 กำหนดให้มาสอบที่กรุงเทพฯ วัดปากน้ำ, วัดสระเกศ และวัดสามพระยา) โดยมีพระภิกษุ/สามเณรที่เรียนจบมาแล้วเป็นครูสอน, วัดบ้านนอกหาครูสอนยาก ก็จะไม่มีการเรียนการสอน ใครอยากเรียนก็ต้องขวนขวายหาทางมาในวัดที่เขามีสอนครับ เพื่อความรู้/อนาคต เหมือนอย่างนักธรรมครับ

บาลีนี้ มีทั้งสิ้น 9 ชั้นด้วยกัน เรียกว่า ประโยค ตั้งแต่ประโยค 1-2 จนถึงประโยค 9 ผู้ที่สอบได้ตั้งแต่ 3 ประโยค หรือ 3 ชั้นขึ้นไป ก็จะได้เป็น พระมหา หรือถ้าเป็นสามเณร ก็จะเป็น สามเณรเปรียญ

การเทียบวุฒินั้น เขาเทียบดังนี้ ประโยค 3 เทียบเท่ากับ ม.3, ประโยค 5 หรือ 6 เทียบเท่า ม.6 (เอาไว้ไปสมัครเรียนในระดับอุดมศึกษาหรือปริญญาต่อ) และประโยค 9 เทียบเท่าปริญญาตรี, ถ้าสามเณรสอบประโยค 9 ได้ ในหลวงก็จะจัดอุปสมบทให้เป็นสามเณรนาคหลวงเป็นเกียรติประวัติแก่ตัวเองและวงศ์ตระกูลต่อไป

การเรียนบาลีนี้ค่อนข้างยากกว่านักธรรมมาก เพราะเป็นภาษาบาลี มีวิชาหลักๆ ก็คือไวยากรณ์ สัมพันธ์ไทย หรือ Syntax แปลภาษาบาลีเป็นภาษาไทย แปลภาษาไทยเป็นภาษาบาลี และวิชาแต่งภาษาไทยที่กำหนดให้ (ไม่มีในหนังสือ)เป็นภาษาบาลี บางรูปเรียนไปก็ตกแล้วตกอีก สอบไม่ผ่านในแต่ละชั้นสักที (ตกซ้ำซาก) แม้จะกำหนดว่าแต่ละชั้นใช้เวลาเรียนชั้นละ 1 ปีก็ตามครับ (ส่วนผมผู้เขียน - ขาจรประจำ ก็เคยบวชเรียนมา ย่อมรู้ดีครับ ได้มานิดหน่อยไม่กี่ประโยค ฮิฮิ)

3. สายทางโลก (เรียกเต็มๆว่า พระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา) สังกัดกรมสามัญศึกษา สายนี้พูดให้เข้าใจง่ายที่สุด ก็คือ สายมัธยมศึกษานั่นเองครับ เรียนตั้งแต่ม.1 - 6 ประกอบคณิต วิทย์ อังกฤษ ภาษาไทย สังคม ฯลฯ มีวิชาธรรม บาลี แทรกอยู่ในหลักสูตรเพื่อแทนวิชาที่พระเณรเรียนไม่ได้ เช่น กิฬา ฟุตบอล วิ่ง ฯลฯ

เมื่อจบแล้วก็ได้วุฒิ ม.3, ม.6 หรือถ้าเรียนจบแค่ ม.3 แล้วเกิดเบื่อ สึกออกไป ก็เอาวุฒิ ม.3 นี้ ไปสมัครเรียนในโรงเรียนมัธยมทั่วไป หรือเอาไปสมัครงานก็แล้วแต่

4. ระดับอุดมศึกษา ปัจจุบันนี้ มีมหาวิทยาลัยสงฆ์อยู่ 2 แห่ง คือ มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (มจร.) วัดมหาธาตุ กทม. (ย้ายไปที่อยุธยา) และ มหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) วัดบวรนิเวศ กทม. (ย้ายไปที่นครปฐม) และทั้งสองมหาวิทยาลัยนี้ก็มีวิทยาเขต หรือ Campus อีกเป็น 10 แห่ง ทั่วประเทศ

มี 3 ระดับ ด้วยกัน คือ ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก เท่าที่จำได้เปิด 4 คณะ คือ คณะพุทธศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ คณะครุศาสตร์ และคณะสังคมศาสตร์ แต่ปัจจุบันนี้เข้าใจว่าคงจะเปิดหลายคณะแล้ว เมื่อจบแล้ว ถ้าจบจากมจร. ก็ได้วุฒิว่า พธ.บ., พธ.ม., พธ.ด. (พุทธศาสตรบัณฑิต/มหาบัณฑิต/ดุษฎีบัณฑิต) ส่วนมมร. ได้วุฒิว่า ศน.บ., ศน.ม., ศน.ด. (ศาสนศาสตรบัณฑิต/มหาบัณฑิต/ดุษฎีบัณฑิต) มีศักดิ์และสิทธิ์แห่งปริญญาทุกประการ เป็นพระปริญญา พระมีการศึกษา เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่ศาสนา ไม่ใช่พระที่ไม่ได้เรียนหนังสือ ที่วันๆ ก็รอแต่กิจนิมนต์ หรือเป็นเจ้าพิธีในงานนั้นงานนี้เป็นต้น

หลักสูตรของระดับนี้ แม้จะเป็นระดับอุดมศึกษาเหมือนมหาวิทยาลัยชาวบ้านทั่วไป (มี พรบ.มหาวิทยาลัย) แต่ก็จะมีวิชาธรรม บาลี สอดแทรกอยู่ด้วยเสมอๆ

อนึ่ง ผู้ที่จะสามารถเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษานี้ได้ (เช่น ปริญญาตรี) ก็ต้องจบ สายบาลีชั้นที่ 5 (ประโยค 5) เพราะเทียบเท่า ม.6 หรือจบสายทางโลก ในระดับ ม.6 (ส่วนสายนักธรรมนั้น นักธรรมชั้นเอก จำได้ว่าเขาเทียบเท่าแค่ ป.6 เท่านั้น (กรณีที่คนมาบวชนั้น จบแค่ ป.4 จะเรียนต่อม.1 ก็ไม่ได้ จำต้องเรียนให้จบนักธรรมชั้นเอก จะได้มีสิทธิ์เอาไปสมัครเรียน ม.1 ได้))

หรือ ถ้าเรียนจบปริญญาตรี หรือ ปริญญาโท แล้ว ถ้ายังอยากเรียนต่อ แต่อยากจะไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยของฆราวาส เช่น มหาวิทยาศิลปากร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น ก็สามารถไปเรียนปนกับฆราวาสได้ (ไม่ต้องสึก) เพราะในระดับปริญญาโท - เอก จะมีนักศึกษาไม่มาก ไม่ต้องไปคลุกคลี หรือจะสึกมาเรียนต่อก็ได้ แต่ก็ต้องมีเงินทุนด้วย (ซึ่งจะพูดต่อไป)

นอกจากนี้ บางรูปที่เรียน ม.6 หรือแม้แต่จบปริญญาตรี แล้ว ไปสมัครเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเปิดก็มี เช่น มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) เป็นต้น ซึ่งเรียนอยู่วัด รอรับเอกสาร/หนังสืออยู่ที่วัด แล้วไปสอบตามสถานที่ที่มหาวิทยาลัยกำหนด หรือบางทีก็เรียนทั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์และมหาวิทยาลัย มสธ. พร้อมๆ กันก็มี

พระเณรบางรูป เรียนควบทุกอย่าง หรือเรียนทุกอย่าง เช่นบวชปีแรก เรียนนักธรรมตรี (เรียนเช้า 1 ชม., บาลีประโยค 1-2 (เรียนเช้า 1 หรือ 1.30 ชม. และม. 1 ไปด้วย (เรียนตั้งแต่บ่ายถึงค่ำ เลิกสัก 1 หรือ 2 ทุ่ม (โคตรเหนื่อยครับ ผมไปเรียนมาแล้ว เกือบตาย ฮ่าๆๆๆ)

บางท่านเรียนจบแล้ว ก็อยู่ช่วยสอนพระเณรในวัด บางท่านก็สึกหาลาเพศ เอาวุฒิที่จบมาไปเรียนต่อ หรือสมัครไปทำงานรับราชการ (อย่างผมเป็นต้น)

ส่วนเงินทุนสำหรับการเรียนนั้น

1. นักธรรมและบาลี ไม่มีค่าเทอมครับ จ่ายแค่ค่าหนังสือ (เล่มหนึ่งๆ (วิชาหนึ่งๆ) ใช้เรียนได้ตลอดปีจนสอบครับ) ตีว่าประมาณ 300 - 500 บาทต่อปี แต่ถ้าซื้อคู่มืออื่นๆ ด้วย ก็อาจมากกว่านั้น (ถึง 1000)

2. มัธยมและอุดมศึกษา เสียค่าเทอม แต่ไม่มากเท่ากับฆราวาสทั่วไป เพราะไม่มีรายการจ่ายอื่นๆ อย่างเช่น ค่าชุดกีฬา เนตรนารี รองเท้าผ้าใบ ฯลฯ แต่ถ้าไปเรียนมหาวิทยาลัยฆราวาส ก็ต้องเสียค่าหน่วยกิตเหมือนฆราวาส (หน่วยกิตเป็นร้อยสองร้อย)

ส่วนที่มาของเงินทุนนั้น บวชใหม่ ๆไม่ค่อยมีเงิน ก็ต้องอาศัยทางบ้าน โยมพ่อโยมแม่ส่งมาให้ พอนานๆ ไป จบนักธรรมเอก หรือเป็นพระมหา เป็นสามเณรเปรียญ อาจได้รับการแต่งตั้งเป็นครูสอน ก็มีเงินเดือนให้เล็กๆ น้อยๆ (ขึ้นอยู่กับเจ้าอาวาสจะให้ แต่ละวัดจะให้ไม่เท่ากัน) ประมาณ 2000 (2 พัน) บาทต่อเดือน นอกจากนั้น ก็อาศัยศรัทธาของญาติโยม เช่น กิจนิมนต์บ้าง สวดศพบ้างครับ เก็บออมสะสมไป (นึกแล้วอยากร้องไห้ครับสงสารตัวผมเองสมัยเป็นสามเณรบ้านนอก ไม่ค่อยมีเงินซื้อหนังสือหนังหาเลย อาศัยหนังสือรุ่นพี่ต่อครับ)

ถ้าบวชเพื่อเรียนแบบนี้ครับ วันๆ ขลุกอยู่แต่กับตำราครับ ผมรู้ดีที่สุดเพราะเคยบวชเรียนมาก่อน จะไปถ่ายคลิปอะไร ๆที่ไม่มีสาระ แทบจะไม่มีเวลาไปทำครับ หรือถ้ามีเวลาก็คงไม่ไปทำ เพราะตะหนักว่า จะทำให้วงการศาสนาเสื่อม คนจะเสื่อมศรัทธาเอือมระอาในพระศาสนา แต่ถ้าไม่บวชเรียน บางทีก็มีเวลาว่างเยอะ วันๆ ก็รอแต่กิจนิมนต์ หรือไปสวดศพ ก็ได้เงินมามาก ก็เอาซื้อซีดีบ้าง อะไรๆต่างๆที่ไม่ใช่ข้าวของจำเป็นต่อการศึกษา (เมื่อไม่เรียน ก็คงไม่ซื้อคอมพิวเตอร์มาไว้ทำรายงานหรอกครับ อาจไว้ทำอย่างอื่น ไม่รู้อะไร แต่คงไม่ใช่รายงาน หรือวิทยานิพนธ์แน่) พอนานเข้า ก็ตกเป็นทาสของกิเลส จนต้องทำผิด ทำเสีย ก็มีตัวอย่างให้เห็นเยอะเหมือนกัน (พระนักศึกษาทำผิด มีน้อยมาก ส่วนใหญ่ไม่ได้เรียนหนังสือ มีเงินมาก (ไม่ต้องเอาไปเสียค่าเทอมเพราะไม่ได้เรียน) และมีเวลาว่าง เฮ้อ .........

เหนื่อยแล้วครับ ขอยุติไว้เพียงนี้ก่อน (เรื่องมันยาวแล้วค่อยมาเล่าต่อ)

โดยคุณ ขาจรประจำ (643)(1)   [ศ. 28 ก.ย. 2550 - 23:18 น.] #157473 (8/13)
ต่ออีกนิด พระในภาพ เข้าใจว่า มาบวชตอนอายุมากแล้ว (สัก 25 - 30) ครั้นจะเริ่มมาเริ่มเรียน ม.1 ร่วมห้องกับพวกสามเณรอายุ 13 - 14 ปี ก็คงไม่อยากเรียนครับ เพราะเป็นนักเรียนแก่มากเลย (แก่ที่สุดในห้อง) ก็เลยอ้างว่าไม่อยากเรียน (วัดก็ไม่บังคับ หรืออาจไม่ใช่สำนักเรียน)

หรือถ้าเป็นนักธรรม (ตรี) หรือ บาลี (ประโยค 1) วัดนี้ก็ไม่ใช่สำนักเรียน ไม่มีการเรียนการสอนธรรม - บาลี อีก หรือ ชั้นนวกะ ก็ไม่มีคนสอนอีก

ก็ลองคิดดูครับ เมื่อมาอยู่วัดที่ไม่มีการเรียนการสอนสักอย่างหนึ่ง แล้วท่านบวชมาจะทำอะไรกันดี (เทศน์ สวด บังสุกุล เท่านั้นเอง) ยิ่งถ้าเป็นพวกหัวดื้อมาบวช ยิ่งคุมไม่อยู่ครับผม (บางวัดดูไม่ได้เหมือนกันครับพฤติกรรมของพระเณร เจ้าอาวาสก็ไม่รู้มัวแต่ทำอะไรอยู่ ไม่กำชับดูแลพระลูกวัด ยิ่งในกรุงเทพบางวัดพระเณรอยู่กันเป็นร้อย มีหลายคณะหลายกุฏิ ดูแลไม่ทั่วถึง ก็ลำบากอีก เฮ้อ...เจ้ากรรม)


โดยคุณ tee-zung (844)  [ส. 29 ก.ย. 2550 - 00:21 น.] #157487 (9/13)
เห็นด้วยกับ..พี่ขาจรประจำ..ครับ วิเคราะห์ได้เด็ดขาดและเจาะลึกวงในจริงๆ..โดยส่วนตัวผม..เชื่อว่าเวรกรรมมีจริง(แล้วครับ)..หลังจากหลงทางอยู่นาน..กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามสนองแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว..ตามวิถีของใคร-ของมัน...
คนดีและคนเลวมีอยู่ในทุกสังคม../.ความดีและความเลว มีในทุกคน เพียงแต่จะมีอะไรมากกว่าเท่านั้นเอง..

โดยคุณ ขาจรประจำ (643)(1)   [ส. 29 ก.ย. 2550 - 08:05 น.] #157542 (10/13)
ถูกต้องนะครับ

โดยคุณ ขาจรประจำ (643)(1)   [ส. 29 ก.ย. 2550 - 08:07 น.] #157543 (11/13)


(D)
ยืมภาพเขามาอีกทีครับ (จำไม่ได้ใครเจ้าของเดิม) ฮิฮิ

โดยคุณ ศิษย์กรุทอง (371)  [ส. 29 ก.ย. 2550 - 10:52 น.] #157605 (12/13)
ท่านพี่ ขาจรประจำ อธิบายได้ชัดเจนมากครับ ถูกต้องที่สุด

โดยคุณ ขาจรประจำ (643)(1)   [ส. 29 ก.ย. 2550 - 15:28 น.] #157650 (13/13)
ครับ ขอบคุณครับ ที่ให้กำลังใจ

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM
www5