(N)
คันฉ่องสำริดจีน หลายท่านคงสงสัยว่าคืออะไร มีความเป็นมาอย่างไร ที่สำคัญคือศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ
เรื่องราวอันพิสดารเกี่ยวกับคันฉ่องสำริดจีน ทั้งด้านประวัติความเป็นมาและความศักดิ์สิทธิ์จากการที่ขอให้ได้อ่านบทความของท่านสรรเพชญที่เกี่ยวกับคันฉ่องสำริดจีน ที่ท่านใช้ชื่อเรียกว่า สุริยัน จันทรา วีซ่าของจีน สุริยัน จันทรา วีซ่าของจีนที่อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช มีผู้พบโบราณวัตถุสำคัญชื้นหนึ่งเรียกว่า คันฉ่องสำริดจีน มีอายุเก่าแก่ถึงสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก นักประวัติศาสตร์ได้สืบสาวราวเรื่องปรากฎหลักฐานในพงศาวดาร จีนสมัยราชวงศ์ฮั่น ซึ่งมีอำนาจปกครองจักรวรรดิ์จีนเมื่อ 206 ปีก่อนคริสตกาล หรือเมือ่ราว พ.ศ.300 เศษ จดบันทึกว่าในสมัยนั้น จักรพรรดิ์แห่งราชวงศ์ฮั่น ได้ส่งราชฑูตจีนเดินทางไปติดต่อทางพระราชไมตรีและการค้า กับอินเดีย ตลอดจนประเทศต่าง ๆ ในแถบทะเลจีนใต้ จึงเชื่อกันว่าคณะฑูตจีนดังกล่าวคงเดินทางผ่านดินแดน ประเทศไทย ซึ่งในสมัยนั้นจีนเรียกว่า ประเทศกิมหลิน หรือในภาษาอินเดียรู้จักกันในนาม สุวรรณภูมิ มีหลักฐานการติดต่อซื้อขายไข่มุก กระดองเต่าทะเล ไม้หอม ผลิตภัณฑ์พื้นเมืองที่มีค่าหายาก โดยแลกเปลี่ยนกับ ทองคำ ผ้าไหม ผ้าแพรจีน นอกจากนั้นจดหมายเหตุจีน ยังระบุว่าบ้านเมืองในแถบทะเลใต้ ได้ติดต่อเป็นไมตรี กับจีนมาแล้วตั้งแต่รัชกาลจักรวรรดิ์วู ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทราบแน่นอนว่าประเทศกิมหลิน หรืออาณาจักรสุวรรณภูมิ เป็นเมืองท่าเรือมีความเจริญรุ่งเรือง มาแล้วตั้งแต่สมัยต้นพุทธกาล เพราะสอดคล้องกับหลักฐานทางอินเดีย ที่กล่าวถึงพระเจ้าอโศกมหาราชส่งคณะทูตและสมณทูตเดินทางเข้ามาเผยแพร่พุทธศาสนา แต่มีปัญหาถกเถียงกันว่า สุวรรณภูมิตั้งอยู่บนคาบสมุทรอินโดจีนตามความเห็นของนักโบราณคดีไทย หรือว่าตั้งอยู่ในภาคใต้กันแน่ เพราะคัมภีร์เก่าแก่ของอินเดีย กล่าวถึงรายชื่อเมืองท่าเรือที่มีชื่อเสียงที่ตั้งอยู่บริเวณแหลมทอง ทางภาคใต้ของ ประเทศไทย เช่นคัมภีร์มหานิเทศ ตอนหนึ่งกล่าวว่า เมืองแสวงหาโภคทรัพย์ย่อมแล่นเรือไปในมหาสมุทร ไปคุมพะ ตักโกละ ( ตะกั่วป่า ในจังหวัดพังงา ) ชวา กมะลี ( ตามพรลิงค์หรือนครศรีธรรมราช ) ....สุวรรณภูมิ รายชื่อบ้านเมืองเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เส้นทางการเดินเรือโบราณจากเมืองท่าอเล็กซานเดรีย ที่ตั้งอยู่ ชายฝั่งทะเลแดงในประเทศอียิปต์ เดินทางผ่านประเทศอินเดีย เลียบชายฝั่งทะเลตะวันตกของประเทศไทย แล้วอ้อมแหลมมาลายูเข้ามายังชายฝั่งอ่าวไทย ต่อจากนั้นแล่นเรือเลียบชายฝั่งเวียดนามไปสิ้นสุดปลายทางที่เมืองกวาง ตุ้งทางตอนใต้ของประเทศจีน อันเป็นสายคมนาคมทางการค้าและอารยธรรมเก่าแก่ที่สุดในโลก เส้นทางการเดิน เรือนี้ผ่านทางเรือทางภาคใต้ของประเทศไทยหลายแห่งดังกล่าว การค้นพบคันฉ่องสำริดจีน กลองมโหระทึก และเครื่องมือเครื่องใช้สมัยราชวงศ์ฮั่น อีกหลายอย่างในดินแดนภาคใต้ ถือว่าเป็นหลักฐานสำคัญยืนยันว่าดินแดนทางภาคใต้ของประเทศไทยเคยติดต่อกับจีนมาแล้วตั้งแต่สมัยต้นพุทธกาลพงศาวดารจีนเรียกบ้านเมืองในแถบนี้ว่า ประเทศกิมหลิน แต่เดิมไม่มีใครทราบว่า คันฉ่องสำริดจีน มีความเป็นมาอย่างไร มีความสำคัญทางการเมืองและศักดิ์สิทธิ์ แค่ไหน เพราะนอกจากคันฉ่องสำริดจีนอันเก่าแก่ซึ่งพบในอำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราชแล้ว ต่อมา มีผู้พบคันฉ่องสำริดแบบต่าง ๆ อีกหลายแห่ง ทั้งในประเทศไทยและบ้านเมืองใกล้เคียง นักโบราณคดีพยายามสืบสาวราวเรื่อง คันฉ่องสำริดจีน ศิลปโบราณ วัตถุขนาดเล็ก แต่ฝีมือการหล่อหลอมโลหะธาตุและการออกแบบ ลวดลายด้านหลัง ตลอดจนรูปแบบ ได้งามเป็นเลิศ พบว่า คันฉ่องสำริดจีน เป็นโบราณวัตถุที่เก่าแก่ที่สุด และเป็นศิลปะประติมากรรมระดับสุดยอดอย่าง หนึ่งในวัฒนธรรมสำริดจีน ซึ่งสืบทอดอารยธรรมอันรุ่งเรืองมาก่อนสมัยพุทธกาล ตั้งแต่เมื่อครั้งจักรวรรดิ์จีน
ยังแตกแยกกันอยู่เป็นแคว้นใหญ่น้อย มีขุนศึกเป็นหัวหน้าปกครองบ้านเมือง เรี่ยกกันว่า ยุคแห่งนักรบ ได้พัฒนาการทางเทคโนโลยีการหล่อหลอมโลหะจนถึงขั้นคลาสสิค ในสมัยราชวงศ์ฮั่น เมื่อปฐมจักรพรรดิ์แห่ง ราชวงศ์ฮั่น รวบรวมแผ่นดินจีนเป็นเอกภาพ มีความมั่นคงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการทหาร โอรส แห่งสวรรค์พระองค์นี้จึงเริ่มต้นแผ่กฤษดาภินิหาร ไปยังนานาประเทศ ดังปรากฎหลักฐานการส่งทูตไปเจริญทาง พระราชไมตรีและการค้ากับประเทศต่าง ๆ กล่าวกันว่าประเพณีการส่งทูตเดินทางไปติดต่อกษัตริย์ต่างแดนนั้น นอกจากพระราชสาสน์และเครื่อง ราชบรรณาการของฮ่องเต้แล้ว ยังมีสิ่งสำคัญที่สุดอีกประการหนึ่งซึ่งเปรียบเสมือนหนึ่งเป็นตราแต่งตั้งของสมเด็จพระจักรวรรดิ ์ ก็คือ คันฉ่องสำริด ราชทูตจีนในระดับเอกอัครราชทูต หรือ อุปทูต จะต้องถือติดตัวไว้เสมือนดังเป็นวัตถุมงคลศักดิ์สิทธิ์ ที่ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้ ทั้งนี้เพราะว่าเมื่อฮ่องเต้พระองค์ใดเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ พระองค์จะทรงสร้างคันฉ่องสำริดขึ้น เป็นตราประจำรัชกาลของพระองค์ โดยให้ช่างออกแบบลวดลายประดับ ประดาด้านหลังอย่างวิจิตรพิศดาร โดยมีห่วงร้อยอยู่ตรงกลาง ส่วนใหญ่มีขนาดในราว 13 - 14 เซ็นติเมตร อี่กหน้าหนึ่งเป็นหน้าราบไม่มีลวดลายใด ขัดเป็นมันวาวเหมือนดังกระจกเงา เรียกกันว่า คันฉ่องสุริยัน ส่วนอีกแบบหนึ่งมีขนาดย่อมลงมา ทำเป็นรูปวงกลมเหมือนกัน แต่ด้านหลังเรียบไม่มีลวดลาย คงมีเพียงแต่ ห่วงสำหรับร้อยเชือกหรือสร้อยไว้ตรงกลาง เท่านั้น ด้านหน้าทำเป็นกระจกเงาเรียกว่า คันฉ่องจันทรา สมเด็จพระจักรพรรดิ์จีนและพระราชินี จะฉายพระพักตร์ของพระองค์ประทับไว้ในคันฉ่องสำริดนั้นแล้ว พระราชทานให้แก่ราชทูตนำติดตัวไปเจริญทางพระราชไมตรีกับต่างชาติ ด้วยเหตุนี้คันฉ่องสำริดจีน ทั้งในแบบ สุริยันและจันทรา อาจถือได้ว่าเป็นวีซ่า หรือพาสปอร์ตอันศักดิ์สิทธิ์ ของจีนที่ใช้เดินทางไปยังประเทศทั้ง หลายในโลกมาตั้งแต่สมัยเริ่มต้นจักรวรรดิ์จีน จนกระทั่งสิ้นราชวงศ์ชิง ในกลางพุทธศตวรรษที่ 24 คันฉ่องสำริดจีน นอกจากถือว่าเป็นวีซ่าแล้ว ยังเป็นตราภูมิคุ้มกันประจำตัวผู้ถือดวงตรานั้นอีกด้วย หากราชทูตหรือผู้ถือดวงตรานั้นถูกจับกุมคุมขังด้วยเหตุใดก็ตาม ถ้าผู้จับกุมทราบว่าเป็นดวงตราสุริยัน จันทรา ขององค์พระจักรพรรดิ์แล้ว จะต้องคุกเข่าลงทำความเคารพและรีบปล่อยตัวผู้นั้นไปในทันที คันฉ่องสำริดยัง อาจใช้เป็นเครื่องส่งสัญญาณในทะเลทรายหรือในมหาสมุทรมาก่อนนักวิทยาศาสตร์ประดิษฐ์คิดค้นคลื่นสัญญาณต่าง ๆ มาใช้ในสมัยปัจจุบันเสียอีก แม้ไม่มีหลักฐานว่าจีนได้รับอิทธิพลความเชื่อในเรื่องสุริยัน จันทรามาจากอินเดีย หรือประเทศใดก็ตาม แต่กษัตริย์หรือจักรพรรดิ์ในอดีตล้วนแต่อ้างว่า พระองค์เป็นโอรสแห่งสวรรค์ ด้วยเหตุนี้จึงมักยึดถือเหมือนกันว่า ผู้มี่บุญหนักศักดใหญ่เหล่านั้นเป็นโอรสของ สุริยัน จันทรา ความรู้ ความเข้าใจในเรื่อง สุริยัน จันทรา พระราหู ของชาวสยามละโว้ อาจเลือนลางไปหลังจากจักรวรรดิ์ศรีวิชัยล่มสลายไป เมือ่ราวต้นพุทธศตวรรษที่ 18 จนเกือบไม่มีใครทราบความหมายที่แท้จริงของมัน ยังเคราะห์ดีในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ สุนทรภู่ มหากวีเอกของชาวเมืองแกลง จังหวัดระยอง ได้เดินทางท่องเที่ยวไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่เมืองเพชรบุรี ประตูเข้าสู่ อาณาจักรศรีวิชัย ในอดีต อาจได้ยินได้ฟังเรื่องราวการรบพุ่งกันระหว่าง พระเจ้าจันทรภาณุแห่งนครศรีธรรมราช กับพระเจ้า ปรากรมพาหุที่ 2 แห่งอาณาจักรสิงหล หรือประวัติการทำยุทธนาวี กันในอดีต จึงทราบต้นเค้าอัน แสนพิศดารเกี่ยวกับ ดวงตราพญาราหูแห่งศรีวิชัย ว่าเป็นตราแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ นำไปดัดแปลงแต่งเติมผูกเป็นวรรณคดียิ่งใหญ่เรื่องพระอภัยมณี อธิบายให้เห็นถึงความมหัศจรรย์แห่งดวงตราพญาราหู ไว้ตอนหนึ่งว่า
ประการหนึ่งซึ่งตราพระราหู เป็นของคู่ขัตติยาเทวดาถวาย
เป็นตราแก้วแววเวียนวิเชียรพราย แต่เช้าสายสีรุ้งดูรุ่งเรือง
ครั้นแดดแข็งแสงขาวดูพราวพร้อย ครั้นบ่ายคล้อยเคลือบสีมณีเหลือง
ครั้นค่ำช่วงดวงแดงแสงประเทือง อร่ามเรืองรัศมีเหมือนสีไฟ
แม้เดินหนฝนตกไม่ถูกต้อง เอาไว้ห้องหับแห่งตำแหน่งไหน
ม่หนาวร้อนอ่อนอุ่นละมุนละมัย เข้าชิงชัยแคล้วคลาดซึ่งศาสตรา
แต่ครั้งนี้ท้าวมิได้เอาไปศึก เพราะท้าวนึกห่วงพระแม่แน่หนักหนา
ด้วยเป็นหญิงทิ้งไว้จึงให้ตรา ไว้รักษาสารพันอันตราย
เรื่องราวเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของตราพญาราหู ซึ่งมหากวีสุนทรภู่ กล่าวพรรณาถึงคุณวิเศษไว้ในวรรณคดี ฟังดูคล้ายกับว่านำเอาเหตุการณ์ ในมหายุทธนาวีครั้งสุดท้ายระหว่าง พระเจ้าจันทรภาณุแห่งเมือง นครศรีธรรมราช กับอาณาจักรสิงหล พันธมิตร ทางอินเดียใต้ อันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนจักรวรรดิ์ศรีวิชัยล่มสลายดไปไม่นาน มาผูกเป็นนิยายประโลมโลกเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นชาติมหาอำนาจทางทะเลของบ้านเมืองเรา และมีความรอบรู้เชี่ยวชาญในวิชาอาถรรพ์เวทย์ นอกจากนั้นจะเห็นได้วา กวีผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ ยังพยายามเก็บเอาเรื่องราวการรบพุ่งในอาณาจักรขอม หลังจากพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 สวรรคต ได้เกิดจลาจล แย่งชิงอำนาจกันขึ้นในประเทศเขมร มีหัวหน้ากบฎคนหนึ่งยกกองทัพบุกเข้าโจมตีเมืองหลวง บ้านเมืองระส่ำระสายจนในที่สุดถูกกองทัพอาณาจักรจามปาปล้นเมืองได้ เขมรก็ตกเป็นเมืองขึ้นของพวกจาม จนถึงพ.ศ.1724 พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จึงกอบกู้บ้านเมืองคืนมาได้ ผู้นำของกบฎมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในประวัติศาสตร์ นามว่า ราหู กวีสุนทรภู่ได้นำมาสร้างภาพจัดฉากให้โลดแล่นอยู่ในวรรณคดีพระอภัยมณี ดังมีข้อความตอนหนึ่งว่า
ฝ่ายเสนาราหูคนผู้เฒ่า ซึ่งเป็นเจ้าเมืองตะวันด่านชั้นสาม
รู้เวทย์มนต์ทนคงเคยสงคราม ครั้นทราบความรับสั่งไม่รั้งรา
เกณฑ์ทหารบาญชีสิบสี่หมื่น ถือหอกปีกซ้ายทั้งฝ่ายขวา
บ้างถือทวนล้วนแต่ดีขี่อูฐลา แต่ตัวราหูขี่สัตว์กิเลน
เป็นไปได้หรือไม่ว่าวรรณคดีโบราณ ผู้แต่งนิยมสร้างนิยายให้อิงอยู่กับดข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องพระอภัยมณี ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับบ้านเมืองในน่านน้ำทะเลใต้ ซึ่งติดต่อสัมพันธ์กัน ทางเรือกับประเทศต่าง ๆ คล้ายกับพยายามรื้อฟื้นจักรวรรดิ์ศรีวิชัยอันศักดิ์สิทธิ์ ขึ้นมาใหม่ ไม่มีใครรู้ว่าสุนทรภู่ทราบเรื่องตราพญาราหูของศรีวิชัยมาจากไหน แต่ในการสร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อมีผู้อ่านแปลถอด รหัสว่า พระราหูอมจันทร์ อมอาทิตย์ หม ายความว่าอย่างไรแล้ว องค์จตุคามรามเทพจึงอนุญาตให้สร้างพระผง สุริยัน จันทรา พระราหู อันเป็นตราแผ่นดินของศรีวิชัย ขึ้น ดวงตรานี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ คล้ายกับคันฉ่องสำริดของจักรพรรดิ์จีน อาจเปรียบได้กับ พาสปอร์ตและวีซ่าในสมัยนี้ สามารถเดินทางไปได้ ทั่วโลก ดังนั้นการที่รัฐมนตรี สัมพันธ์ ทองสมัคร เล่าให้ฟังว่า ผู้สำเร็จญาณคนหนึ่งเมื่อจับต้อง พระผงสุริยัน จันทรา แล้วบอกว่าเป็นวีซ่า พอเชื่อถือได้ เพราะมีที่ีมาที่ไปและมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดีอ้างอิง รัฐมนตรีสัมพันธ์ ฯ บอกเล่าให้ฟัง โดยอ้างว่าแพทย์หลวงท่านหนึ่งเห็นพระผงสุริยัน จันทรา แต่ไม่ทราบว่าคิออะไร และต่อมาเมื่อรัฐมนตรีสัมพันธ์ ไปตรวจโรคกับแพทย์หลวงท่านนี้ รัฐมนตรีสัมพันธ์ห้อย พระผงสุริยัน จันทรา องค์ที่ได้ไปจากหลักเมืองเมื่อหลายปีก่อนติดตัวอยู่ตลอดเวลา นัยว่ามีส่วนดลบันดาลให้ ประสบความสำเร็จรุ่งโรจน์ทางการเมือง พอ่ถอดพระผงสุริยัน จันทรา ออกจากคอ แพทย์หลวงเห็นเข้าจึงรู้ว่าเป็นพระของหลักเมืองนครศรีธรรมราชเหมือนกับที่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้ จึงเกิดเป็นข่าวเล่าลือกันไปเหมือนไฟไหม้ฟาง ต่าง ๆ นา ๆ เมื่อทางสำนักพระราชวัง แจ้งให้ทางจังหวัดนำยอดชัยหลักเมืองไปทูลเกล้า ฯ เพิ่อทรงเจิมและทรงสุหร่ายในพระราชวังจิตรลดา ตามโบราณราชประเพณี คณะกรรมการหลักเมืองได้ทูลเกล้า ฯ ถวายพระผงสุริยัน จันทรา แบบต่าง ๆ เหรียญหลักเมือง เหรียญพระพังพระกาฬ ผ้ายันต์ทุกแบบ ตะกรุดทอง เงิน นาค และสีผึ้งในตลับถมทอง เป็นต้น อาจกล่าวได้ว่าวัตถุมงคลชนิดใดที่สร้างขึ้นจำหน่ายจ่ายแจกให้ประชาชนอย่างไรก็นำขึ้นทูลเกล้าถวายในหลวง อย่างนั้น แต่พระผงสุริยัน จันทรา ซึ่งทำเป็นรูปพระราหูอมจันทร์อมอาทิตย์ เรียงรายล้อมรอบด้วยกลุ่มดาว 12 นักษัตร และพระโพธิสัตว์ มีขนาดใหญ่มองเห็นลวดลายศิลปอันงดงามชัดเจนโดยมีหัวใจคาถากำกับอยู่ข้างหลัง แตกต่างไปจากวัตถุมงคลที่ทำกันอยู่ทั่วไป ที่สร้างขึ้น ภายใต้ดินแดนแห่งอาณาจักรศรีวิชัยโบราณ ผู้มีญาณหยั่งรู้ว่าเป็นตราแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับคันฉ่อง สำริด อันเป็นสุริยัน จันทรา วีซ่าของจีน เมื่อศึกษาเปรียบเทียบในเรื่อง สุริยัน จันทรา ของจีน ศรีวิชัย อินเดีย หรือประเทศทั้งหลาย สมัยนั้นแล้ว เกือบไม่ต้องพูดว่าศักดิ์สิทธิ์อย่างไร หรือคุ้มครองดวงชะตาได้แค่ไหน หรือเหตุใดที่ช่วยทำมาค้าขายคล่อง เซียนซือในมาเลย์เซีย สิงคโปร์ อาจรู้เรื่องนี้จึงบอกเล่าให้ลูกศิษย์ ลูกหาทราบ นอกจากนั้นมีผู้รู้จริงของเราสั่งให้ลูกหลานเช่าพระที่หลักเมืองสร้างขึ้นทุกอย่างไว้ให้มากที่สุด เพราะจะได้ส่วน ร่วมสร้างหลักชัยของบ้านเมือง และเป็นของที่ศักดิ์สิทธิ ที่แท้จริงต่อไป จะหาไม่ได้ ตลอดเวลา 12 ปีเศษ พระผงสุริยัน จันทรา วีซ่าของศรีวิชัย ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าอยู่นอกเหนือการโฆษณาชวนเชื่อใด เพราะผู้ใด ได้ไปต่างรู้ด้วยตัวเองเป็นอย่างดี จากบทความของท่านสรรเพชญ ได้เน้นให้เห็นถึงความสำคัญและความศักดิ์สิทธิ์ของคันฉ่องสำริดจีน ซึ่งมีความหมายคล้ายกับ พระผงสุริยันจันทรา วัตถุมงคลของหลักเมืองนครศรีธรรมราช ที่องค์จตุคามรามเทพ
สั่งให้สร้างขึ้นมา และยังเฉลยคำถามที่ว่าทำไมชาวจีนในมาเลย์เซีย และสิงคโปร์ ถึงได้เข้ามาเช่าหาพระผงสุริยันจันทรากลับไปฝั่งประเทศของตนจำนวนมาก เหตุผลหนึ่งในเรื่องนี้ตามที่ท่านกล่าวไว้ก็คือ เซียนซือทั้งหลายที่ เป็นอาจารย์ของผู้คนเหล่านั้นสั่งให้หามาบูชา เพราะเข้าใจในเรื่องคันฉ่องสำริดจีน ว่ามีความเกี่ยวพันกับระบบสุริยะจักรวาล และดาว 12 นักษัตร เหมือนกับพระผงสุริยัน จันทรา
ท่านสรรเพชญ เคยเล่าให้ฟังถึงเรื่องคันฉ่องสำริดจีนของท่าน ในสมัยที่ท่านเป็นตำรวจประจำอยู่ ภาคใต้ ในขณะมียศร้อยตำรวจเอก ท่านได้นำคันฉ่องสำริดจีน ซึ่งเป็นมรดกตกทอดติดตัวไปด้วย เพราะมีความเชื่อและมั่นใจว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นเครื่องลางของขลังป้องกันตัวได้ จนกระทั่งวันหนึ่งทราบว่ามีตำรวจ ลูกน้องของท่านมีความสามารถเป็นร่างทรงได้จึงได้ขอให้ทำพิธีอัญเชิญวิญญาณ หรือสิ่งศักดิ ์สิทธิ์ในคันฉ่องสำริดจีนของท่าน และก็เป็นไปตามที่ท่านมั่นใจ คือมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตย์อยู่จริงและท่านสามารถติดต่อผ่านร่าง ทรงได้ แต่ปรากฎว่า เทพที่อยู่ในคันฉ่องพูดภาษายาวี ไม่ยอมพูดภาษาไทย ท่านจึงต้องเชิญโต๊ะครูมาช่วยแปลให้ .ได้มีการถามถึงวิธีการปราบปรามโจรก่อการร้าย โจรจีนคอมมิวนิสต์ โจรแบ่งแยกดินแดนก และโจรผู้ร้ายต่าง ๆ วิญญาณหรือน่าจะเป็นองค์เทพองค์ใดองค์หนึ่งในร่างทรง จึงแนะนำเคล็ดลับในด้านไสยศาสตร์ให้นำไปใช้สู้กับ โจร เพราะทางฝ่ายโจรเองก็มีการใช้ไสยศาสตร์ในการต่อสู้และหลบหนีเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ส่วนรายละเอียดใน เรื่องวิธีการผู้เขียนขออนุญาตข้ามไปนะครับ
จากความศักดิ์สิทธิ์ของคันฉ่องสำริดจีนที่สามารถใช้เป็นเครืองลางของขลังในการป้องกันภัย ช่วยใน การทำมาค้าขายและเป็นวีซ่าในการเดินทางผ่านสถานที่ต่าง ๆ ตามความหมายและเคล็ดที่ท่านสรรเพชญบอก กล่าวให้ฟังในบทความ ท่านจึงแนะนำพวกเรา ซึ่งหมายถึงผู้เขียน และลูกศิษย์อื่น ๆ อีกหลายคนให้เสาะหา คันฉ่องสำริดจีนมาไว้เป็นวัตถุมงคลอันศักดิ ์สิทธ์ประจำตัว ประจำบ้าน
เมื่อทราบนัยยะสำคัญของคันฉ่องสำริดจีนเช่นนี้แล้ว พวกเราจึงพากันสืบเสาะค้นหากันยกใหญ่แต่ก็ต้องผิดหวังไปตาม ๆ กันเพราะหาไม่ได้ง่าย ๆ ในขณะเดียวกันผู้เขียนได้พยายามศึกษาค้นคว้าจากตำรับ ตำราต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของคันฉ่องสำริดจีน พบว่าในสมัยโบราณที่มีการสร้างคันฉ่องสำริดจะมีความพิถีพิถันในการสร้าง กำหนดลวดลายต่าง ๆ ที่มีความหมายมากมายในทางมงคล ผู้ที่ได้ครอบครองคันฉ่องนั้น มีความเชื่อว่าของสิ่งนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์ เพราะผู้คนในสมัยนั้นรู้เห็นเรื่อวราวกรรมวิธีในการสร้างว่าคันฉ่อง สำริดมีความเกี่ยวพันกับระบบสุริยจักรวาล ได้มีการค้นพบรายละเอียดกรรมวิธีในการสร้างในสุสานของสมัยฮั่น ซึ่งเป็นสมัยที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากสมัยหนึ่งของจีน อยู่ในช่วง พ.ศ. 337 - 850 มีแบบอธิบายถึงระบบการโคจรของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ การคำนวนเวลา องศาต่าง ๆ ซึ่งได้แปลออกมาบรรจุในด้านหลังของคันฉ่อง และคันฉ่องจำนวนมากได้มีการจำลองระบบสุริยะจักรวาลและกลุ่มดาว 12 นักษัตรลงไปด้วย เวลาผ่านไปประมาณ 1 ปีเศษ ๆ จากศิษย์คนหนึ่ง ก็ได้พบนักสะสมคันฉ่องสำริดจีนซึ่งเก็บไว้จำนวนหลายอัน (ประมาณ 30 กว่าอัน ) และยินดียกล๊อตจำหน่ายให้ทั้งหมด พวกเราจึงได้มีคันฉ่องกันคนละคู่ 2 คู่ และก่อนที่จะครอบครอง ท่านพ่อจตุคามรามเทพ ได้ให้พวกเราสร้างบารมีและอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้าของคันฉ่อง จึงเป็นที่มาของพระปิดตาพระโพธิสัตว์พังพระกาฬ พิมพ์ลอยองค์ รุ่นคันฉ่องสองจักรพรรดิ์ ขอย้อนกลับไปยังช่วงที่ท่านสรรเพชญ แนะนำให้พวกเราพยายามหาคันฉ่องสำริดจีน เนืองจากเป็นของ วิเศษ มีความศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่ได้ครอบครองจะมีแต่ความเจริญ โชคดี พกติดตัวไปไหนมาไหนผ่านตลอด เหมือนกับมีวีซ่า ท่านได้แนะนำบอกกล่าวกับศิษย์หลักเมืองมาตั้งแต่ยุคแรก ๆ ที่มีการสร้างหลักเมือง แต่ไม่มีใครหาได้จน กระทั่งพวกเรามาหาได้ในช่วงปี พ.ศ.2544 และได้เป็นจำนวนหลายอัน ได้นำมาดูศึกษากันในจำนวนนี้มีชำรุดอยู่สองอัน คือร้าว 1 อัน หักครึ่งอีก 1 อัน ต่อมาทำหักอีก 1 อัน ทำให้มีชำรุดอยู่ 3 อัน ท่านสรรเพชญแนะ นำให้พวกเราทั้งหมด ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับคันฉ่องสำริด โดยการถวาย สังฆทานกับพระจีนที่วัดมังกรกมลาวาส จากนั้นนำคันฉ่องทั้งหมดมาให้ท่านพ่อจตุคามรามเทพปลุกเสก เมื่อท่านปลุกเสกเรียบร้อยแล้วพวกเราจึงนำมาแบ่งกัน ในส่วนของผู้เขียนได้มา 2 คู่ อัญเชิญใส่พานตั้งคู่กับวัตถุมงคลของหลักเมือง เวลาผ่านไประยะหนึ่งผู้เขียนจำไม่ได้ว่านานเท่าไร จำได้ว่าเป็นวันเสาร์ ผู้เขียนได้ชวนเพื่อนบ้านมีชื่อเล่นว่า คุณแตง อยู่บ้านฝั่งตรงกันข้าม เยื้องกันประมาณ 2 หลังมาทานข้าวกลางวัน ในการสนทนาช่วงหนึ่งผู้เขียนคุยให้ฟังถึงเรื่องคันฉ่องสำริดจีนว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ ให้โชคลาภ คุณแตงจึงอยากเห็นเพราะไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักมาก่อน ผู้เขียนจึงนำมาให้ชม คุณแตงนำไปจับพลิกดูไปมาสักพักจึงส่งคืนผู้เขียน เมื่อพูดคุยกันพอสมควรแล้วคุณแตงก็ขอตัวกลับบ้าน ขณะนั้นเวลาเกือบบ่ายโมง ต่อมาเวลาประมาณ 5 โมงเย็น ขณะที่ผู้เขียนกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ คุณแตงเดินมาหาและพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า พี่วันนี้แตงถูกหวย ผู้เขียนจึงบอกไปว่า โอ ....ดีจังเลย โชตดีนะ.. คุณแตงรีบพูดต่อว่าปกติเป็นคนไม่เล่นหวย แต่เห็นว่าพี่คุยว่าคันฉ่องศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่แตงจับดู เลยอธิฐานว่าถ้าศักดิ์สิทธิ์จริงวันนี้ขอให้ถูกหวย พอออกจากบ้านพี่ แตงก็โทร.หาเพื่อนขอซื้อหวย เพื่อนแตงตกใจ มากว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่ ๆ ก็มาซื้อหวยเพราะไม่เคยสนใจ แถมไม่ยุ่งด้วยซ้ำ ซึ่งเรื่องนี้เป็นปกติวิสัยของแต่ละคน แต่สิ่งที่ผู้เขียนแปลกใจคือ ระยะเวลาที่ออกจากบ้านผู้เขียนกลับไปบ้านเพื่อโทรศัพท์ถึงเพื่อนเป็นเวลาสั้น ๆ คุณแตงไปเอาตัวเลขมาจากไหน สงสัยอย่างนี้จึงได้สอบถามไป คุณแตงตอบไปว่าช่วงก่อนออกจากบ้านผู้เขียนได้หันไปมองรถของภรรยาของผู้เขียนแล้วจำเลขทะเบียน 3 ตัวหลัง คือ 426 กำหนดในใจว่าจะขอซื้อเลขตัวนี้ และก็ถูกจริง ๆ ผู้เขียนไม่ได้ถามรายละเอียดว่าหวยออกตรง ๆ หรือไม่หรือถูกเท่าไหร่ เพราะขณะนั้นมีสิ่งที่คิดค้างอยู่ในใจก็คือ เราเป็นเจ้าของคันฉ่องแท้ ๆ ตั้งแต่ได้มายังไม่เคยถูกหวยเลย แต่คุณแตงอยู่ข้างบ้านมาจับแค่ ครั้งเดียวกลับถูกหวยได้ เป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของคันฉ่องหรือความบังเอิญ ผู้เขียนลองพิจารณาดูโอกาส ที่ว่าบังเอิญนั้นน่าจะน้อยมาก เพราะใน 1 ปีที่ผ่านมาเราไม่ได้เชิญคุณแตงมาทานข้าวที่บ้านเลย ถ้าคิดว่า 1 ปี มี 365 วัน ก็ต้องคิดว่า 1 ใน 365 วันและจะต้องมาพิจารณาถึงหมายเลขทะเบียนรถ 3 ตัวหลัง โอกาสจะออก หวยก็คือ 1 ใน 1000 ถ้ารวมโอกาสที่จะเกิดขึ้นทั้งสองก็คงจะเหลือน้อยนิดจริง ๆ ถ้าคิดว่าเป็นความบังเอิญคงต้องบอกว่า จะบังเอิญอะไรขนาดนั้น หลังจากคุณแตงกลับไปแล้ว ผู้เขียนยังคิดในใจอยู่ตลอดเวลา ที่เราไม่ถูกแต่คุณแตงมาเดี๋ยวเดียวกลับ ถูกหรือเป็นเพราะเราดวงไม่ดีไม่มีโชค ส่วนคุณแตงดวงของเขากำลังมีโชคพอดี อย่างไรก็ตามความรู้สึกขณะ นั้นคือไม่ยินยอมอย่างยิ่ง ก็เราเป็นเจ้าของคันฉ่อง ไปให้คนอื่นถูกหวยโดยที่เราไม่ถูกได้อย่างไร ในคืนนั้นเองผู้เขียนได้ไหว้ท่านพ่อจตุคามรามเทพและพูดกับรูปเหมือนพระบูชาพระโพธิสัตว์พังพระกาฬ 9 เศียรว่า เห็น ท่านพ่อบอกว่าคันฉ่องสำริดจีนศักดิ์สิทธิ์ ใครมีแล้วจะมีโชค แต่ทำไมลูกไม่ได้โชค กลับไปให้คนข้างบ้านเขา ได้รับโชคลาภได้อย่างไร ถ้าศักดิ์สิทธิ์ จริงงวดหน้าลูกขอถูกล็อตเตอรี่บ้าง ผู้เขียนพูดพร้อมกับจับคันฉ่อง จากนั้นผู้เขียนยังได้จับคันฉ่องอธิฐานอีกหลายครั้ง ปรากฎว่า งวดต่อมาผู้เขียนถูกล็อตเตอรี่ เลขท้าย 3 ตัวจำไม่ได้ว่าเลขอะไร ถูกกี่คู่ จำได้แต่ว่าได้เงินมาประมาณ 3 หมื่นกว่าบาท และนี่เป็นข้อสรุป ถึงความเชื่อมั่นหรือความมั่นใจในความศักดิ ์สิทธิ์ของคันฉ่องสำริดจีน สำหรับตัวผู้เขียนเอง ขอย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ในช่วงเวลาที่นำคันฉ่องไปให้ท่านพ่อปลุกเสก ตามที่เรียนต่อท่านผู้อ่านไปแล้วว่ามีคันฉ่องสำริดจีนชำรุดอยู่ 3 อัน ภายหลังท่านพ่อปลุกเสกเสร็จแล้วได้หันมาทางผู้เขียนบอกว่าคันฉ่องทั้ง สามอันนี้เป็นของวิเศษ ให้จัดการนำไปหลอมผสมทำพระปิดตาขึ้นมารุ่นหนึ่ง เป็นพระปิดตาโพธิสัตว์พังพระกาฬ พิมพ์ลอยองค์ตั้งชื่อในภายหลังว่า รุ่นคันฉ่องสองจักรพรรดิ์ โดยท่านพ่อกำหนดให้เททองในวันที่ 22 มิถุนายน 2544 ขนาดที่สร้างมีจำนวน 3 ขนาดคือ ใหญ่ กลาง เล็ก เหตุที่สร้างกันถึง 3 ขนาดเนื่องจากในการสร้างพระปิดตาโพธิสัตว์พังพระกาฬ รุ่นเกาะเภตรา มีการสร้างขึ้นมา 2 ขนาดคือ พิมพ์ใหญ่ กับ พิมพ์เล็ก ซึ่งท่านสรรเพชญ บอกกับพวกเราว่าพวกผู้หญิงเขาติกันว่าทำมาใหญ่เกินไป เขาอยากแขวนเหมือนผู้ชายบ้างทำไมถึงไม่ทำขนาดเล็ก ๆ ด้วยเหตุนี้จึงมีการย่อยขนาดให้เล็กลงโดยการเพิ่มเป็นพิมพ์เล็กเข้ามา ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าพิมพ์เล็กรุ่นเกาะเภตรา ค่อนข้างมาก ส่วนพิมพ์กลางและพิมพ์ใหญ่ จะมีขนาดใกล้เคียงกับรุ่นเกาะเภตรา พิมพ์เล็กและพิมพ์ใหญ่
ในการสร้างวัตถุมงคลตามคำสั่งของท่านพ่อจตุคามรามเทพ ครั้งนี้ นอกจากคันฉ่องสำริดจีน 3 อัน เหรียญ พระปิดตาพังพระกาฬตามที่ท่านพ่อให้ใส่ และชนวนที่ท่านสรรเพชญนำมาให้ผสมแล้ว พวกเรายังระดม.เอาของมงคล วัตถุมงคล และชนวนพระต่าง ๆ จำนวนมากมาหลอมรวมไปด้วย ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
1. คันฉ่องสำริดจีน 3 อัน
2. เหรียญปิดตาพังพระกาฬรุ่นแรก 3 เหรียญ
3. พระกริ่งรัตนรังสี 250 องค์
4. แผ่นปั๊มทองแดงหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ 50 แผ่น
5. เหรียญเงินหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ 20 เหรียญ
6. พระสังกัจจายน์บูชาเนื้อเงินแท้หน้าตัก 3 นิ้ว หลวงพ่อไพบูลย์วัดอนาลโย 1 องค์
7. พระกริ่งภัทริโย หลวงพ่อภัทร วัดโคกสูง 2 ช่อ
8. ชนวนพระกริ่งนิมมานโกวิท หลวงพ่อทองดำวัดท่าทอง
9. ชนวนพระบูชาพระโพธิสัตว์พังพระกาฬทุกรุ่น
10. เหรียญกษาปณ์เนื้อเงินเก่า
11. พระปรกใบมะขามพระโพธิสัตว์พังพระกาฬ
12. ทองคำหนัก 10 บาท
นอกจากนี้ยังมีชนวนวัตถุมงคลต่าง ๆ อีกจำนวนมาก รวมถึงเครื่องรางของขลังจำพวกตะกรุดของหลวงพ่อดัง ๆ เช่น หลวงพ่อกลั่น หลวงพ่อแจง เหรียญรุ่นเก่าและรุ่นใหม่อีกนับร้อยเหรียญ ได้นำโลหะทั้งหมดไปหลอมรวมกันก่อนนำไปเผาพระปิดตาพระโพธิสัตว์พังพระกาฬพิมพ์ลอยองค์ โดยใช้โลหะดังกล่าวล้วน ๆ ไม่ผสมทองเหลืองหรือทองแดงของโรงงานเลย
จำนวนการสร้าง
1. เนื้อทองคำ พิมพ์ ใหญ่ พิมพ์กลาง พิมพ์เล็ก
2. เนื้อเงิน พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง พิมพ์เล็ก
3. เนื้อคันฉ่อง พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง พิมพ์เล็ก
4. เนื้อเมฆสิทธิ์ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง พิมพ์เล็ก
องค์นี้เป็นเนื้อคันฉ่องพิมพ์เล็กสูง 1.8 ซ.ม. จำนวนสร้างแต่ละพิมพ์ค่อนข้างน้อยครับ |