ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : ประวัติหลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร ต.บางสมัคร อ.บางปะกง ฉะเชิงเทรา



(D)
ภาคตะวันออก....นอกจากจะเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติต่างๆแล้ว
ทางด้านพระเกจิอาจารย์ก็มีพระภิกษุผู้มีวิชาอาคมที่เปี่ยมล้นไปด้วยเมตตาและเชี่ยวชาญงานด้านนวกรรม
เข้มขลังทางด้านพุทธาคมอยู่มากมาย.....

.....หลวงพ่อฟู.....หรือ.....พระครูมนูญธรรมรัตน.....ก็รวมอยู่ในกลุ่มพระผู้ทรงคุณเหล่านั้นด้วย.....

ปัจจุบัน หลวงพ่อฟู สิริอายุได้ 81 ปี พรรษาที่ 61 เป็นเจ้าอาวาสวัดบางสมัคร ต.บางสมัคร อ.บางปะกง
จ.ฉะเชิงเทรา และดำรงค์ตำแหน่งที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอบางปะกง ในปัจจุบัน
(ท่านเคยดำรงค์ตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอ มาก่อนหน้านี้ )

ในเส้นทางศิษย์ตถาคตผู้เป็นพุทธบุตรสืบสานพระพุทธศาสนา
หลวงพ่อฟูได้สืบทอดพุทธาคมจากครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากมาย อาทิ..... หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว
จ.ฉะเชิงเทรา .....หลวงพ่อบุญมา วัดอุทยานที จ.ชลบุรี.... หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส จ.จันทบุรี
.....หลวงพ่อเริ่ม วัดจุกเฌอ จ.ชลบุรี ..... หลวงพ่อเม็ด วัดบึงกระจับ จ.ฉะเชิงเทรา.....เป็นต้น

.....หลวงพ่อฟู เป็นพระเกจิเถราจารย์ อาวุโสอีกรูปหนึ่งในจ.ฉะเชิงเทรา ที่มากด้วยคุณธรรม - เมตตาธรรม
เป็นที่เคารพศรัทธาของศิษยานุศิษย์และสาธุชนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นชาวบางปะกง ชาวแปดริ้ว
หรือจังหวัดไกล้เคียง ด้วยเหตุที่ว่าท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญตำหรับตำรายาสมุนไพรต่างๆ
นำมาสงเคราะห์ญาติโยมผู้เดือดร้อนโดยไม่คิดมูลค่าใดๆทั้งสิ้น.......

ท่านเกิด เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2465 ณ.บ้านบางสมัคร เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เมื่ออายุครบ 20 ปี
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ.2485 ณ.วัดบางสมัคร มีพระครูพิบูลย์คณารักษ์ ( หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว )
เป็นพระอุปัชฌาย์.....หลวงพ่อชื่น วัดทองนพคุณ เขตคลองสาน กรุงเทพฯ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ
พระครูเมธีธรรมโฆสิต ( พระมหาจอม ) วัดบางสมัคร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า " อติภัทโท
" เมื่อท่านได้อุปสมบทโดยสมบูรณ์แล้ว ท่านได้ศึกษาด้านคันถธุระ ที่วัดทองนพคุณ กทม.
จนสอบได้นักธรรมโท และต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2487 หลวงพ่อฟู ท่านได้ไปจำพรรษาที่วัดอุทยานที จ.ชลบุรี
เพื่อเรียนนักธรรมเอก.....พ.ศ.2492 ท่านสอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค....และต่อมาพรรษาที่16พ.ศ.2501
หลวงพ่อฟูท่านได้รับแต่งตั้งให้ดำรงค์ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดอู่ตะเภา จ.ชลบุรี เป็นพระกรรมวาจาจารย์
และตำแหน่งเจ้าคณะตำบลหนองไม้แดง จ.ชลบุรีจนกระทั่งปี พ.ศ.2503 ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์
...

ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2505 เจ้าอาวาสวัดบางสมัครว่างเว้นลง
ชาวบ้านจึงนิมนต์ท่านมาให้เป็นเจ้าอาวาสวัดบาวสมัครนับแต่นั้นเป็นต้นมา
ท่านได้พัฒนาวัดจนเป็นวัดที่ใหญ่โตและกว้างขวาง มีพระอุโบสถ ที่ใหญ่ที่สุดในเขต อ.บางปะกง .....
ในปีพ.ศ.2543 หลวงพ่อฟู ได้รับรางวัลเสมาธรรมจักรทองคำ สาขาเผยแพร่พระพุทะศษสนา
จากสมเด็จพระเทพฯ.....ท่านมุ่งเน้นด้านการศึกษามาตลอด ท่านได้เป็นกรรมการตรวจธรรมสนามหลวง
และเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมอีกด้วย......

ด้านพุทธาคม และ ไสยศาสตร์.........การศึกษาสรรพเวทวิทยาคมจากครูบาอาจารย์ต่างๆหลวงพ่อฟูให้ความสนใจ
และตั้งใจศึกษาอย่างแท้จริง เพราะท่านต้องการนำมาช่วยเหลือเหล่าศิษยานุศิษย์สืบต่อไป
เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง.....

บรรดาครูบาอาจารย์ที่สอนกรรมฐานและถ่ายทอดวิชาอาคมให้ หลวงพ่อฟู มีอยู่มากมาย
เพราะนอกจากท่านจะศึกษากับครูบาอาจารย์ที่มีตัวตนแล้ว
ท่านยังได้ศึกษาจากตำหรับตำราต่างๆทั่วไปอีกด้วย.......

สำหรับวัตถุมงคล ที่หลวงพ่อฟู ท่านนำมาแขวนตั้งแต่เด็กๆ ก็คือ ปลัดขิกหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ
ซึ่งกันผีพรายน้ำได้ เป็นความเชื่อสมัยก่อนสำหรับผู้คนที่มรบ้านช่องติดแม่น้ำลำคลอง
ต่างเกรงว่าลูกเด็กเล็กแดง จะถูกผีพรายน้ำเอาตัวไป
จึงหาของไว้ป้องกันให้เด็กๆเป็นต้น.....หลวงพ่อฟูจึงมีความสนใจ เมื่อท่านบวชแล้วท่านจะต้องขอเรียนวิชา
กับหลวงพ่ออี๋ ให้ได้ แต่หลวงพ่ออี๋ กลับมามรณะภาพลง ในคราวที่หลวงพ่อฟู บวชได้ไม่นานนัก.....

หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว จ.ฉะเชิงเทรา นอกจากจะเป็นพระอุปัชาย์ของท่านแล้ว
ยังเป็นเกจิอาจารย์ที่มีอาคมขลังยิ่ง ชื่อเสียงของท่านโด่งดังไปทั่วเป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป
วัตถุมงคลที่ขึ้นชื่อ ก็มีเหรียญรุ่น81 ตะกรุดเสือเสื้อยันต์
และลิงจับหลักแกะจากรากพุดซ้อนเป็นต้น.....ท่านได้วิชาดีคือวิชา สูญผีไล่ผีคาถาพระเจ้าสิบหกพระองค์
อันเป็นวิชาชั้นสูงสุดยอดของหลวงพ่อดิ่ง ซึ่งท่านไม่ยอมสอนวิชานี้ให้กับใครมากนัก
นอกจากศิษย์ผู้นั้นเป็นผู้มีคุณธรรมเท่านั้นท่านถึงจะให้วิชานี้เท่านั้น
เพราะเกรงว่าลูกศิษ์จะนำไปใช้ในทางที่ผิดๆ......วิชาการสร้างลิงจับหลัก ที่แกะจากรากต้นพุดซ้อน
ท่านก็ได้จากหลวงพ่อดิ่ง ......

หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส จ.จันทบุรี เป็นอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาทำเครื่องรางของขลัง
ตะกรุดผ้ายันต์ ปลัดขิก เสืออาคม เสือสมิง การเขียนและลบผงอิทธิเจ ปถมัง ตรีนิสิงเห
และการสร้างพระปิดตาให้แก่หลวงพ่อฟูจนหมดสิ้น....

หลวงพ่อบุญมี วัดบึงกระจับ จ.ฉะเชิงเทรา พระอาจารย์ผู้โด่งดังทางด้านการสร้างลูกอม ท่านได้ถ่ายทอด
ให้หลวงพ่อฟู พร้อมทั้งวิชากรรมฐานในการออกธุดงค์ และ คาถาที่ใช้ภาวนา คือ อรหัง กับ นะ ขัตติยะ
ซึ่งหลวงพ่อฟูนำมาใช้จนได้ผลที่ดียิ่งในด้านเมตตามหานิยม.........
หลวงพ่อเริ่ม วัดจุกเฌอ จ.ชลบุรี เป็นอาจารย์อีกรูปหนึ่งที่หลวงพ่อฟู ให้ความเคารพมาก
เพราะท่านเป็นเกจิฯ สายภาคตะวันออกที่มีชื่อเสียงมากทางฝั่งชายทะเลตะวันออก ......หลวงพ่อเริ่ม
เป็นศิษย์สืบสานวิชา " ฝนแสนห่า " และ สีผึ้งเจ็ดจันทร์ จาก หลวงปู่อ่ำ วัดหนองกระบอก กับวิชา
การทำปลัดขิก และ หน้าผากหนังเสือ จากหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ
โดยตรง.....และวิชาทั้งหมดนี้ได้ตกมาถึงหลวงพ่อฟูจนหมดสิ้น......

.....หลวงพ่อเริ่มยังได้วิชา ทำผง 12 นักษัตร จากหลวงปู่เทียนวัดโบสถ์ วิชาการสร้างพระปิดตา
และวิชาโหราศาสตร์จากสมเด็จพระสังฆราช ( อยู่ ) วัดสระเกศ กทม.ด้วย..... วิชาเหล่านี้หลวงพ่อเริ่ม
ได้ถ่ายทอดให้หลวงพ่อฟู ในฐานะศิษย์เอก จนครบถ้วนเช่นกัน....หลวงพ่อฟู
ได้นำวิชาหุงสีผึ้งเจ็ดจันทร์มาทำใหม่ โดยผสมของเก่า ของ หลวงพ่อเริ่มลงไปด้วย
โดยหลวงพ่อฟูเป็นผู้ผสมเองด้วยความชำนาญ เมื่อ นำออกใช้ก็เกิดผลดีด้านเมตตามหานิยม และค้าขายดี
เช่เดียวกันกับของ หลวงพ่อเริ่ม ทุกประการ.....
หลวงพ่อบุญมา วัดอุทยานที จ.ชลบุรี ได้สอนตำราพระเวทสายเกจิอาจารย์ชายฝั่งทะเลตะวันออก
และสูตรการผสมผงสร้างพระปิดตาสายวัดเครือวัลย์ จ.ชลบุรี ให้แก่หลวงพ่อฟู และวิชาการทำยาหอม ยาหม่อง
น้ำมันใส่แผล จากสมุนไพรต่างๆ
และหลวงพ่อฟูได้นำมาใช้และแจกจ่ายประชาชนทั่วไปโดยไม่คิดมูลค่าใดๆทั้งสิ้น.....

พระมหาจอม ( พระครูเมธีธรรมโฆสิต ) อดีตเจ้าอาวาสวัดบางสมัคร รูปก่อน หลวงพ่อฟู
ยังได้สอนวิชาการสร้างเสืออาคม จากตำราเดิม ของ หลวงพ่อปาน ( บางเหี้ย ) วัดคลองด่าน จ.สมุทรปราการ
ให้หลวงพ่อฟู ท่านจึงนำมาสร้างตะกรุดหน้าผากเสือ ขึ้นจนโด่งดัง อยู่ในขณนี้ ครับ......

นับได้ว่า หลวงพ่อฟู ท่านได้รับการถ่ายทอดสรรพวิทยา ต่างๆจากอดีตพระเถราจารย์ และ พระเกจิอาจารย์
ต่างๆที่เป็นที่ยอมรับของประชาชนทั่วไป และวิชาต่างๆ หลวงพ่อฟู ท่านได้นำมาใช้อย่างได้ผลดีทุกด้าน
โดยเฉพาะด้านเมตตา มหานิยมท่านเป็นเอก ไม่รองใคร.....สมแล้วกับ สมยานามที่ศิษยานุศิษย์ขนานนามให้ท่านว่า
"พระเกจิแห่งลุ่มน้ำบางปะกง "

โดยคุณ nkkrala (2K)  [อ. 01 มิ.ย. 2553 - 23:20 น.]



โดยคุณ nkkrala (2K)  [อ. 01 มิ.ย. 2553 - 23:21 น.] #1169787 (1/5)


(D)
ในเรื่องของวัตถุมงคลต่างๆ นั้น “เครื่องราง” ถือว่าเป็นสิ่งที่คนไทยเรารู้จักกันมานานหลายชั่วอายุคน ว่ากันว่าเครื่องรางมีหลากชนิดหลายประเภท บางอย่างมีมานานแล้วแต่บางอย่างก็เพิ่งจะเกิดมาลืมตาดูโลกได้ไม่นานนัก เครื่องรางมีทั้งแบบที่เกิดตามธรรมชาติและแบบที่เกิดจากการสร้างขึ้นมาเองโดยฝีมือมนุษย์

ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ตรงที่ว่าการจะทำให้เครื่องรางมีฤทธิ์ มีเดช ต้องอาศัยการเสก การเป่า จากผู้ที่มีวิชาอาคม

ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะเพียงแค่การบริกรรมคาถาอาคมลงไปบนเครื่องราง เช่นตะกรุด เสือ สิงห์ ลิง ฯลฯ มันถึงสามารถเกิดเป็นความขลังขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ...



“จะเป็นพระเครื่องหรือลิงจับหลัก ใครก็ปลุกเสกได้ แต่จะให้ได้เท่าหลวงพ่อดิ่งเห็นจะไม่มี เพราะหลวงพ่อดิ่งท่านมีสมาธิจิตดีมาก ไม่มีใครเท่าท่าน”

หลวงพ่อฟูเล่าให้พวกเราฟังว่า หลวงพ่อดิ่งท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียงในด้านคงกระพันชาตรีและมหาอุด ด้วยคุณวิเศษมหัศจรรย์เฉพาะตัวอันนี้ ทำให้หลวงพ่อดิ่งได้รับนิมนต์ให้ไปร่วมปลุกเสกวัตถุมงคลในพิธีของวัดราชบพิตร เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๑ ร่วมกับคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น อาทิเช่น หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ฯลฯ

สำหรับเครื่องรางที่มีชื่อเสียงของหลวงพ่อดิ่งคือ ตะกรุดเจ็ดดอกตะกรุดโทน และลิงจับหลัก(หนุมาน) โดยเฉพาะลิงจับหลัก(หนุมาน)นี้ หลวงพ่อฟูท่านได้เล่าว่า

ความจริง ”ลิงจับหลัก” ก็คือ”หนุมาน”นั่นเอง ด้วยเหตุที่ว่าสมัยหลวงพ่อดิ่งยังไม่ละสังขาร ท่านได้สร้างหนุมานขึ้นจากรากของต้นพุดซ้อนแต่เนื่องจากฝีมือการแกะของชาวบ้านที่ไม่ค่อยเสถียร หนุมานที่สร้างขึ้นมาจึงละม้ายคล้ายไปในลักษณะของลิงเสียมากกว่า ผู้คนจึงพากันเรียกหนุมานของหลวงพ่อดิ่งว่า “ลิง”

ต่อมาเมื่อหารากพุดซ้อนไม่ได้ จึงต้องใช้ไม้ชนิดอื่นแทน เช่นไม้ขนุน ด้ามตาลปัตร ฯลฯ ในบางครั้งก็มีชาวบ้านบางคนแกะลิง(หนุมาน)มาให้ท่านเสกเป็นการส่วนตัว หลวงพ่อดิ่งท่านก็เมตตาสงเคราะห์เสกให้ไป แต่ไม่ว่าจะเป็นการสร้างมาจากวัสดุอะไรก็แล้วแต่ เมื่อมาถึงมือหลวงพ่อดิ่งแล้ว มั่นใจได้เลยว่าเป็นอันเด็ดขาดสามารถคุ้มครองตัวได้

ในส่วนประสบการณ์ “ลิงจับหลัก” ของหลวงพ่อดิ่ง เห็นถ้าคงจะเล่าไม่ไหวครับ เอาเป็นว่าถ้าไม่แน่จริง “ลิงจับหลัก” ของท่านคงจะไม่ขึ้นแท่นว่าเป็นหนึ่งในเครื่องรางยอดปรารถนาของผู้คนมาจนถึงทุกวันนี้หรอกครับ



สำหรับเรื่องของ”ลิงจับหลัก” ที่หลวงพ่อฟูได้เล่าให้พวกเราฟังนี้ “พระใบฏีกาเชษฐ์ วัดบางวัว” ได้บันทึกถึงประวัติความเป็นมาจากปากคำของผู้เฒ่าผู้แก่ที่อยู่ทันยุคสมัยของหลวงพ่อดิ่ง บางท่านก็เป็นช่างที่เคยแกะลิงถวายให้หลวงพ่อดิ่ง ซึ่งบันทึกของพระใบฏีกาเชษฐ์นี้สอดคล้องเป็นแนวทางเดียวกับที่หลวงพ่อฟูเล่าดังนี้ครับ

ในสมัย พ.ศ.๒๔๘๐ กว่าๆ นั้น ถึงการสื่อสารยังไม่สะดวกสบายเหมือนกับในปัจจุบัน แต่ชื่อเสียงของหลวงพ่อดิ่งท่านก็ยังโด่งดังเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป เครื่องรางของขลังที่ทำให้ท่านมีชื่อเสียงคือ “ลิงจับหลัก” (ไม้รากพุดซ้อนแกะ) การสร้างลิงจับหลักนั้นจะต้องหาต้นพุดซ้อนให้ได้ตรงตามตำราเสียก่อน

กล่าวคือต้นพุดซ้อนต้นนั้นจะต้องมีรากที่ชี้ไปทางทิศตะวันออกจึงจะใช้ได้ ก่อนจะทำการขุด หลวงพ่อดิ่งท่านจะให้ลูกศิษย์ของท่านทำการพลีต้นพุดซ้อนนั้นเสียก่อน โดยผู้ที่จะทำพิธีการพลีนั้นจะต้องสมาทานศีล นุ่งขาวห่มขาว หลังจากที่เสร็จสิ้นพิธีการพลีแล้วก็จะทำการขุดต้นพุดซ้อนนั้นขึ้นมาเพื่อที่จะเอารากที่ชี้ไปทางทิศตะวันออก

สิ่งที่ต้องระวังคือในช่วงเวลาที่ขุด ห้ามให้เงาของคนที่ขุดทับไปที่ต้นพุดซ้อน เมื่อได้รากพุดซ้อนที่ถูกต้องตามตำรามาแล้วก็จะนำมาตากลมให้แห้ง พอแห้งแล้วก็นำมาแกะเป็นหนุมานถือตรี ถือพระขรรค์ หรือถือกระบอง อย่างใดอย่างหนึ่งตามที่หลวงพ่อดิ่งจะสั่ง ขนาดของหนุมานจะต้องมีความสูงไม่เกินหนึ่งองคุลี ลักษณะของหนุมานจะมีขนาดใหญ่อ้วนผอมไม่เป็นไร เพราะขนาดของรากพุดซ้อนเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน

เมื่อลูกศิษย์แกะลิงตามที่หลวงพ่อดิ่งสั่งจนครบตามจำนวนแล้ว หลวงพ่อดิ่งจะตรวจดูว่าลิงจับหลักที่แกะมานั้นถูกต้องตามตำราหรือไม่ เมื่อดูแล้วถูกต้องก็จะหาฤกษ์ยามในการปลุกเสก คือวันเสาร์หรือวันอังคารข้างขึ้น

การปลุกเสกลิงจับหลักจะต้องปลุกเสกจนครบ “เจ็ดเสาร์เก้าอังคาร” โดยเวลาปลุกเสก หลวงพ่อดิ่งจะนำลิงจับหลักไม้แกะทั้งหมดใส่ลงในบาตรและท่านจะนั่งปลุกเสกจนลิงจับหลักนั้นกระโดดออกจากบาตร

ลิงจับหลักตัวที่กระโดดออกจากบาตรได้นั้นถือว่าสำเร็จสามารถนำไปใช้บูชาติดตัวได้ และถ้าตัวไหนไม่กระโดดออกจากบาตร หลวงพ่อดิ่งท่านจะใช้เหล็กจารจิ้มที่ก้นเป็นเชิงสัญญลักษณ์และจึงทำการปลุกเสกต่อจนลิงจับหลักนั้นจะสามารถกระโดดออกจากบาตรได้ทั้งหมด



ในปี พ.ศ.๒๔๘๓ หลวงพ่อดิ่งทำพิธีปลุกเสกลิงจับหลักครั้งยิ่งใหญ่ มีการทำพิธีตัดไม้ข่มนาม(ข่มอาวุธ) โดยหลวงพ่อดิ่งท่านจะนั่งเสกลิงจับหลักบนอาวุธซึ่งได้มีการเอาหนังเสือโคร่งมาปูทับอาวุธไว้ตามเคล็ด ในส่วนของการปลุกเสก หลวงพ่อดิ่งท่านจะนั่งปลุกเสกจนสว่างทุกวันเสาร์จนครบเจ็ดเสาร์ และทุกวันอังคารจนครบเก้าอังคาร จึงจะนำลิงจับหลักไม้แกะมาแจกแก่บรรดาลูกศิษย์ที่มาขอลิงจับหลักจากท่าน....

ครับที่เขียนมาข้างต้นนั่นคือส่วนของหลวงพ่อดิ่งผู้ที่มีหน้าที่ทำให้ขลัง..

ซึ่งเรื่องราวทั้งหลายทั้งปวงเกี่ยวกับการสร้างและการเสกให้ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์นั้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรู้ ความสามารถ ความอดทน ตลอดจนเป็นผู้ที่มีวิชาอาคมดีจึงสามารถปลุกเสก”ของ”ได้อย่างยอดเยี่ยม

แต่ก็อย่างที่ทราบกันแหละครับว่าเรื่องราวของไสยศาสตร์ ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องของพิธีกรรม คาถา อาคม ดังนั้นการที่จะให้เครื่องรางของขลังนั้นเกิดประสิทธิ์ภาพและเป็นผลดีกับตนจึงต้องรู้จักวิธีปฏิบัติ ซึ่งวิธีการบูชา“ลิงจับหลัก” ตำราท่านว่าให้ปฏิบัติดังนี้ครับ

การบูชาลิงจับหลักหรือหนุมานจับหลักไม้แกะรากพุดซ้อนในตำรานั้น ให้ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วว่าพระคาถาดังนี้

“หนุมานะ นะมะพะทะ”



พระคาถาดังกล่าวให้เสกตามกำลังวัน เช่น เสาร์ ๑๐ อาทิตย์ ๖ จันทร์ ๑๕ อังคาร ๘ เป็นต้น เมื่อจะไปหาผู้ใหญ่ ให้นำลิงมาจุ่มน้ำมันจันทร์เจิมหน้าผาก ถ้าไปหาคนรัก ให้นำลิงมาจุ่มน้ำมันจันทร์วนรอบสะดือข้างซ้าย(ทักษิณาวัตร) ไปหาผู้ชาย ให้นำลิงมาจุ่มน้ำมันจันทร์วนรอบสะดือข้างขวา (ทวนเข็มนาฬิกา)

ถ้าจะทำให้เขาหลับทั้งบ้าน ให้เอาลิงปลุกเสกพระคาถาตามกำลังวัน แล้วนำไปวางไว้ที่เสาเอกของบ้าน คนในบ้านจะหลับหมด เพราะโดนฤทธิ์ของหนุมานสะกดไว้ ถ้าเราจะทำให้ศัตรูเคลิบเคลิ้ม ให้เอาลิงอมไว้ในปากแล้วเสกตามกำลังวัน เป่าลมออกไป ศัตรูจะงวยงงทำอะไรไม่ถูก เป็นจังงัง



“คาถา คือ วาจาหรือถ้อยคำที่เราท่องออกมา มันมีพลังอยู่ในตัวของมันเอง..”

“เสกเสือ เสกหนุมาน ใช้คาถาต่างกัน ต่อด้วยพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ”

จะว่าไปแล้วโดยส่วนตัวผมคิดว่า “หนุมาน” เป็นเครื่องรางของขลังอีกประเภทหนึ่งที่น่าสนใจศึกษาครับ ด้วยเหตุผลที่ว่า “รูปแบบ” และ “การเสก” ของแต่ละสำนักจะไม่เหมือนกันครับ

เอาง่ายๆ อย่างในภาคตะวันออกที่มีการสร้างเครื่องรางประเภทนี้ออกมากันหลายสำนัก เช่น หลวงปู่เกลี้ยง วัดเนินสุทธาวาส หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ หลวงพ่อจ้อย วัดหนองน้ำเขียว อาจารย์ธรรมนูญ บุญธรรม สำนักสักยันต์บัวแปดกลีบ ฯลฯ ซึ่งแต่ละสำนักล้วนมีพิธีกรรมและการเสกที่แตกต่างกันออกไป เราอาจจะสามารถสังเกตุได้ง่ายๆ จากคาถาที่แต่ละอาจารย์ได้มอบไว้ให้มาสวดกำกับหนุมาน

ผมเองได้สอบถามหลวงพ่อฟูว่า

“จำเป็นไหมที่หนุมานตามตำราของหลวงพ่อดิ่งจะต้องสร้างด้วยรากไม้พุดซ้อนเท่านั้นจึงจะเกิดความขลัง”

ท่านตอบว่า..



“จริงอยู่ถ้าตามตำราเขาว่าไว้อย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้ห้ามถ้าจะใช้อย่างอื่นทำ ความสำคัญคือวิธีการเสกที่ต้องว่าตามตำรา

นอกจากนี้สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือเรื่องของครูบาอาจารย์ที่ต้องมีการบอกกล่าวทุกครั้งที่จะทำ เพราะไสยศาสตร์เป็นเรื่องของการใช้ความเชื่อ ความศรัทธา คนเราจะทำการในเรื่องเหล่านี้โดยขาดครูบาอาจารย์ไม่ได้อย่างเด็ดขาด”

ฟังแล้วต้องคิดตามครับว่าเมื่อคนเราใช้ความเชื่อ ความศรัทธาเป็นตัวนำแล้ว การจะเอาเหตุผลหรือข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มาจับ ดูจะเป็นเรื่องที่ชวนทะเลาะกันเสียมากกว่า

เช่นในกรณีของคำว่า “แรงครู” ที่เราอาจจะพูดได้ว่ามันคือนามธรรมร่วมสมัยของความเชื่อ ความศรัทธา ต่อสิ่งที่มองไม่เห็นและไม่สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์

ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ ทำให้เกิดเป็นวัฒนธรรมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาในเรื่องของการไหว้ครู ซึ่งในแง่มุมของไสยศาสตร์ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำจะละเว้นเสียมิได้..

จะว่าไปแล้วการไหว้ครูถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมอันดีงามของสังคมไทยมานานแล้วครับ ตามคติความเชื่อว่ากันว่าครูเป็นเหมือนพ่อแม่คนที่สองของเรา เป็นทิศทิศหนึ่งในจำนวนทิศทั้งหก ครูถือเป็นทิศเบื้องขวาเรียกว่า “ทักขิณทิศ” คือทิศที่ให้ความถนัด ให้วิชา ให้ความรู้แก่เราครับ



หลวงพ่อเล่าว่าท่านได้จัดให้มีพิธีไหว้ครูเป็นประจำทุกปี ทั้งนี้เพื่อเป็นการระลึกถึงครูบาอาจารย์ที่ได้ถ่ายทอดสรรพวิชาต่างๆ ให้กับตัวท่าน ท่านว่าการไหว้ครูนอกจากจะเป็นการแสดงถึงความเคารพแล้ว ยังเป็นการขอบารมีครูบาอาจารย์ในการประกอบกิจกรรมมงคลต่างๆ เพื่อให้เกิดความสำเร็จ

สำหรับพิธีไหว้ครูประจำปี ๒๕๕๓ นี้ หลวงพ่อท่านกำหนดไว้เป็นวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๓ วัตถุมงคลที่จะออกให้บูชาในวันไหว้ครูปีนี้มีหลายแบบครับ เช่น พระบูชา พระกริ่ง หนุมานเนื้อผงและ.....”หนุมานจับหลัก” ครับ

หนุมานจับหลักที่จะออกให้บูชาในปีนี้ เป็นหนุมานเนื้อโลหะซึ่งหลวงพ่อฟูท่านได้ประกอบพิธีเททองหล่อไปเรียบร้อยแล้ว ลักษณะของหนุมานเป็นแบบนั่งชันเขาถือกระบอง โดยในส่วนที่เป็นกระบองของหนุมาน หลวงพ่อได้ดำริให้จัดสร้างเป็นตะกรุดจารด้วยอักขระ “นะ มะ อะ อุ” สอดเข้าไว้ในมือของหนุมาน ทั้งนี้อักขระดังกล่าวได้นำมาจากหลังเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อดิ่ง...

นอกเหนือไปจากคติความเชื่อที่ว่าหนุมานย่อมต้องมีอาวุธประจำกาย เช่น ตรี พระขรรค์ หรือกระบองแล้ว ความสำคัญอยู่ตรงที่ว่าตะกรุดที่จารด้วยอักขระสี่ตัวนี้ในทางสายวิชาของหลวงพ่อดิ่ง ท่านว่าพุทธคุณเป็นเหมือน “ตะกรุดคู่ชีวิต” ครับ



ในส่วนของ”ตะกรุดคู่ชีวิต” หลวงพ่อฟูท่านอธิบายว่าตะกรุดชนิดนี้มิใช่ตะกรุดที่บูชาแล้วจะช่วยให้อมตะนิรันดร์กาล หากแต่เป็นตะกรุดที่มีพุทธคุณเฉพาะตัว เพราะเป็นการสร้างตามสายวิชา

อีกประการหนึ่งคือความเชี่ยวชาญในการปรุงยารักษาโรคของท่านที่มีมากพอๆ กับการใช้คาถาอาคมในการปลุกเสกพระ ดังนั้นด้านหนึ่งของตะกรุดคู่ชีวิตจึงเด่นในเรื่องของการอุดหนุนชีวิตและอีกด้านหนึ่งจึงมีดีตรงที่ช่วยปรับธาตุภายในร่างกายให้เกิดความสมดุล

หนุมานจับหลัก หรือ ลิงจับหลัก เป็นเครื่องรางที่มีพุทธคุณแบบสากลคือเมตตาและคงกระพัน แต่ถ้ามองให้ลึกไปในเนื้อหาแล้วจะเห็นว่าความนิยมในการใช้มักจะตกอยู่กับคนที่ทำราชการ ตามคติความเชื่อในเรื่องของหนุมานชอบอาสานาย

ในกรณีดังกล่าวค่อนข้างจะตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้เสกแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะหลวงพ่อฟูท่านบอกว่า จะเป็นพ่อค้าหรือคนทั่วไปก็บูชาได้เนื่องจากหนุมานจับหลักเป็นเครื่องรางที่นำมาซึ่งความเป็นมงคล



ในอดีตเรามีหนุมานที่สร้างขึ้นจากครูบาอาจารย์ยุคโบราณหลายต่อหลายท่าน หนุมาน(ลิง)ของหลวงพ่อดิ่ง เป็นเหมือนตัวชูโรงที่ขับเคลื่อนให้พลพรรคหนุมานเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในแง่ของความเป็นเครื่องรางของขลัง มากกว่าจะรู้จักหนุมานแค่ว่าเป็นลูกชายของพระพายในวรรณกรรม

และเมื่อเวลาได้เดินทางผ่านไปพร้อมกันประสบการณ์ที่เกิดกับผู้บูชา ทำให้หนุมานของท่านมีราคาเช่าหาที่สูงและเป็นที่ต้องการของผู้คน หากแต่ว่าในปริมาณของหนุมานที่มีจำกัดและไม่ค่อยได้พบเห็น(ของจริง)บ่อยนัก บริบทของตลาดเครื่องรางจึงไม่มีสภาพของการกักตุนแต่ก็หนีไม่พ้นในเรื่องของการตั้งราคาตามใจผู้ครอบครอง

คงปฏิเสธไม่ได้ครับว่า “ความเชื่อถืออย่างมีวิจารณญาณเป็นรากฐานของความขลังขนานดี”



“คนเราไม่เหมือนกัน บางคนเชื่อ บางคนไม่เชื่อ มีวัตถุมงคลอยู่กับตัวแต่ไม่นับถือมันก็ไม่เกิดความขลังความศักดิ์สิทธิ์ การจะถือวัตถุมงคลต้องมีความเชื่อมั่นก่อนถึงจะเกิดความศักดิ์สิทธิ์

ส่วนเรื่องของจะขลังหรือไม่ขลัง ขึ้นอยู่กับคนที่เสกต้องตั้งใจและมั่นใจในการทำ คนที่รับก็ต้องเต็มใจและมั่นใจเหมือนกัน บูชาไปแล้วเอาไปเก็บมันก็ไม่มีประโยชน์ ของจะขลังมันจะต้องนำมาใช้ด้วยความเคารพศรัทธา”

ผมเรียนถามหลวงพ่อว่า ข้อห้ามในการบูชาวัตถุมงคลของหลวงพ่อคืออะไร



“ห้ามระรานคนอื่น และห้ามทิ้งการทำความดี”

สำหรับเหตุผลที่ท่านบอกข้อห้ามนี้ ท่านเล่าว่าก่อนที่ท่านจะเริ่มเรียนวิชาจาก หลวงพ่อจอม อดีตเจ้าอาวาสวัดบางวัว ข้อตกลงแลกเปลี่ยนก่อนจะสอนคือ “ห้ามระรานคนอื่นและต้องหมั่นทำความดี” โดยเฉพาะศีลห้าข้อต้องอย่าขาด ข้อห้ามดังกล่าวนี้หลวงพ่อกำชับว่าไม่ต้องพกพระของท่านก็สามารถใช้คุ้มครองตัวเราเองได้

ครับจะเห็นได้ว่า หนุมานจับหลัก(ลิงจับหลัก) ตะกรุดคู่ชีวิต พิธีกรรมการไหว้ครู ฯลฯ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีความหมายและเป็นเรื่องมงคลทั้งสิ้น

จริงอยู่ถึงแม้ว่าทุกอย่างที่ได้กล่าวถึงจะเป็นสิ่งที่มนุษย์สมมุติขึ้น ซึ่งเราเองก็ต้องยอมรับว่าสิ่งสมมุตินั้นได้กลายมาเป็นความเชื่อและถือปฏิบัติติดต่อกันมาอย่างยาวนาน

ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าหนุมานกับการไหว้ครู อย่างไหนจะเกิดก่อนกัน

เพียงแต่เราต้องยอมรับความเป็นอัจฉริยะของคนโบราณที่ได้ให้กำเนิดเครื่องรางหรือพิธีกรรมแบบนี้จนกลายมาเป็นวัฒนธรรม

ดังนั้นเครื่องรางหรือพิธีกรรมจึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องราวแต่หนหลังที่มีคุณค่าเท่านั้น หากแต่มันเป็นการบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ความเป็นคนไทยที่มีวัฒนธรรมอันดีงามที่ได้สืบต่อเนื่องมาจนถึงยุคสมัยของพวกเราในปัจจุบัน ตลอดจนเป็นการสร้างกำลังใจขั้นพื้นฐาน สำหรับการเดินทางต่อไปในอนาคต

ซึ่งประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าการเดินทางนั้น ห้ามระรานคนอื่นและห้ามทิ้งการทำความดี.....สวัสดีครับ


http://board.palungjit.com/f15/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B8%B9%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%A3-25289.html

http://www.oknation.net/blog/sitthi/2010/03/11/entry-1

โดยคุณ yuirayong (5.7K)  [พ. 02 มิ.ย. 2553 - 09:12 น.] #1170057 (2/5)
สุดยอดครับ

ท่านมีความสามารถจริงครับ

ด้วยความนับถือ

โดยคุณ phichet (13.8K)  [พ. 02 มิ.ย. 2553 - 13:48 น.] #1170386 (3/5)
ขอบคุณมากครับ

โดยคุณ sitti (2.6K)  [พฤ. 03 มิ.ย. 2553 - 10:32 น.] #1171732 (4/5)

โดยคุณ momo8 (457)  [พ. 08 ธ.ค. 2553 - 22:23 น.] #1435096 (5/5)
สุดยอดครับ หลวงพ่อฟู ใครยังไม่เคยไป ให้รีบไปครับ อริยสงฆ์ ของแท้ครับ

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM
www5