ร่วมเสนอความคิดเห็น

หัวข้อกระทู้ : รุ่นสรงน้ำ พ่อท่านบุญให้



(D)



โดยคุณ sitti (2.6K)  [อ. 05 ม.ค. 2553 - 20:13 น.]



โดยคุณ sitti (2.6K)  [อ. 05 ม.ค. 2553 - 20:15 น.] #991524 (1/2)
ประวัติครับ
ประวัติพระครูพิศาลวิหารวัตร (หลวงพ่อบุญให้ ปทุโม) วัดท่าม่วง :::- เกิดในสกุล สุขขนาน เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๗๑ ณ หมู่บ้านบางทองคำ ตำบลบ้านเนิน อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช โยมบิดา-มารดาชื่อนาย สงฆ์ – นางทองนวล สุขขนานเกิดมีพี่น้อง 9 คน ท่านเป็นคนที่ 6 ดังมีรายนามดังนี้
1.นายแก้ว
2.นางประดับ
3.นางแดง ยังมีชีวิต
4.นางตุ่น
5.นายทอง
6.พ่อท่านบุญให้
7.นางหนูกล่อม
8.นายสงวน
9.นางถนอม
ท่านเป็นคนขยัน ขันแข็ง มีจิตใจเมตตา กรุณามาตั้งแต่วัยเยาว์ แม้กระทั่งวัวที่ เลี้ยงไว้ไถนา ท่านก็ตัดหญ้าให้กินมาโดยตลอด ก่อนที่จะออกไปตัดหญ้าให้วัวกิน ที่ก็จะเอาข้าวเปลือกให้กินก่อนหนึ่งเลียง วันไหนไถนาท่านก็จะรีบทำในตอนเช้าเพราะแดดไม่ร้อน พอเวลาเพลท่านก็พักวัวแล้ว จะลงอีกทีก็บ่าย ท่านบอกว่าวัวกับเราช่วยกันทำนา เสร็จแล้ววัวก็ต้องได้กินข้าวได้เหมือนกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งพี่สะใภ้มายืมวัวไปไถนา พ่อท่านตามไปดูท่านเห็นแล้ว ท่านก็ร้องไห้ให้พ่อของท่านเอากลับมา ท่านบอกว่าเอาวัวไปทำงานจนเกินแรง วัวเขามีบุญคุณกับเรานะ เราต้องนึกถึงอกเขาอกเรา ซึ่งแสดงถึงความมีเมตตา และรู้บุญคุณมาตั้งวัยเยาว์
กระทั่งเมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๔๙๑ ที่วัดพระหอม ตำบลบ้านกลาง อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีพระธรรมปาลาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระปลัดฝาก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาทอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า ปทุโม มีความหมายว่า ดอกบัว เมื่อได้อุปสมบท ท่านได้มุ่งมั่นศึกษาพระปริยัติธรรมและพระธรรมวินัยอย่างมุ่งมั่น รวมทั้งได้ศึกษาร่ำเรียนสรรพวิชาจากพระครูทักษิณธรรมสาร ตลอดเวลา ๓ พรรษา ท่านได้คอยปรนนิบัติรับใช้พระครูทักษิณธรรมสารอย่างใกล้ชิด ด้วยความเมตตาจากพระครูทักษิณธรรมสารได้มอบความไว้วางใจถ่ายทอดสรรพวิชาคาถาอาคมต่างๆ ให้อย่างครบถ้วนจน หลวงพ่อบุญให้ ได้หมั่นฝึกฝนปฏิบัติวิทยาคมต่างๆ ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากพระครูทักษิณธรรมสารแห่งวัดพระหอม ซึ่งเป็นวิชาสายเดียวกับพ่อท่านเอื้อม แห่งวัดบางเนียน อำเภอเชียรใหญ่ จนเกิดพลังสมาธิญาณสามารถอย่างน่าอัศจรรย์ ต่อมา พ.ศ.๒๔๙๔ ท่านได้ย้ายไปจำวัดที่วัดเขมาภิรตาราม ตำบลสวนหลวง อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยเป็นเวลา ๑๓ พรรษา ท่านมีพระสหายทางธรรม เช่น พระ.. (ท่านเจ้าคุณแบน วัดบวรนิเวศน์) ท่านเจ้าคุณอุบล เป็นต้น หลังจากนั้น อาจารย์ของท่านก็ให้ พ่อท่านบุญให้ มาดูแล เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าบันเทิงธรรม บางกอกน้อย ซึ่งที่นั้นท่านก็ได้ซ่อมแซม กุฎิ สร้างศาลา โรงธรรม เสนาสนะต่างๆ ครบ 3 พรรษา จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๕๐๘ ท่านได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดพระหอมเป็นเวลา ๑ พรรษา ก่อนย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่ามะเดื่อ อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง เป็นเวลา ๖ พรรษาพ่อท่านบอกว่าคนที่นี้ไม่ธรรมดาเขามีดีกัน และที่นี้นี้เองที่พ่อท่านได้มีโอกาสศึกษาวิชาต่างๆ กับพระอาจารย์สำนักเขาอ้อ หลายๆ ท่าน เช่น
พระสมุห์สงฆ์วัดตะโหมด
พระครูกาชาด วัดดอนศาลา
พ่อท่านนำ
พ่อท่านทอง
พระครูทักษิณธรรมสาร (ลูกศิษย์พ่อท่านจับวัดท่าลิพง เป็นเกลอกับพ่อท่านเอื้อม)
จวบจนปี 2513 พ่อท่านก็ต้องมาดูแลวัดท่าม่วง ต.ปากพูน นครศรีธรรมราช ซึ่งในตอนนั้นมีเพียงหลวงตาอายุ 80 กว่าอยู่เพียงองค์ เดียว กับโบสถ์ ที่มีเพียงเสา กับ หลังคา กุฏิ พุๆ ตอนที่ท่านเข้ามาอยู่ใหม่ๆ ก็ต้องพบกับแรงเสียดทานต่างๆจากชาวบ้านละแวกนั้น แต่พ่อท่านก็ไม่ย่อท้อ ด้วยความมุ่งมั่น เด็ดเดียว และปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ในบวรพระพุทธศาสนา ในปีรุ่งขึ้นท่านก็สามารถชักชวนชาวบ้าน เปลี่ยนเสาโบสถ์ หลังคาและสร้างผนังโบสถ์ พร้อมนั้นก็ยังเป็นองค์อุปถัมป์ในการสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ของโรงเรียนวัดท่าม่วง ในปี 2514 สร้างหอระฆังในปี 2515 สร้างเมรุ ในปี 2517 ตลอดจนกุฏิ ศาลาการเปรียญ ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลปากพูน ในปัจจุปัน พ่อท่านบุญ ให้เป็นที่รัก นับถือ ศรัทธา ของชาวนครศรีธรรมราช เป็นหลวงพ่อท่านที่เป็นดั่งเพชรเม็ดงามอีกเม็ดหนึ่งของเมืองนครในขณะนี้
......หลวงพ่อบุญให้ ปดุโม พระเกจิดังแห่งเมืองนครศรีฯ
หลวงพ่อบุญให้ ปดุโม หรือ พระครูพิศาลวิหารวัตรเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งวัดท่าม่วง ต.ปากพูน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราชที่มีความเชี่ยวชาญวิทยาคมเป็นที่เลื่องลือไปทั่วภาคใต้จนได้รับการยกย่องว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้า ท่านได้รับสมญานามจากคณะศิษยานุศิษย์ที่เลื่อมใสศรัทธาว่าเป็นเทพเจ้ามนต์คาถาแห่งภาคใต้ที่สร้างวัตถุมงคลที่มีพุทธคุณด้านคงกระพันชาตรี-แคล้วคลาด-เมตตามหานิยมให้เกิดแก่สาธุชน

.....สาริกาเรียกทรัพย์
...ตามตำรามหาขันต์สาริกา เป็นตำรามหายันต์ ในด้าน เมตตามหานิยม มหามิตร มหาโชค มหาลาภ นำความเจริญรุ่งเรืองของพรหมศาสตร์ชั้นสูง พระเดชพระคุณ พ่อท่านบุญให้ ท่านสำเร็จมหายันต์สาริกา
นกสาริกาพิมพ์นี้ เหมาะกับนักธุรกิจ พ่อค้า-แม่ค้า ดารานักร้อง นักการตลาด ผู้ขายประกัน นายจ้าง ลูกจ้าง (เหมาะกับการติดต่อธุรกิจ)พุทธคุณสูงใช้ดีทาง เมตตามหานิยม-มหาโชค มหาลาภ มหาระลวย เจรจาพาทีไพเราะเสนาะหูจับจิตจับใจแก่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังให้หลงใหลคล้อยตาม บันดาลโชคลาภ วาสนา เป็นที่รักชอบของผู้ที่ได้พบเห็น

....ปลัดขลิก.มหาเมตตา
ความเป็นมาของ "ปลัดขิก" ค่อนข้างเกี่ยวพันกับคติความเชื่อดั้งเดิมในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ โดยเชื่อว่า "ลึงค์" หรืออวัยวะเพศชาย เป็นบ่อเกิดแห่งสรรพสิ่งมีชีวิตในจักรวาล อันเป็นรากฐานมาจากคติการบูชา "ศิวลึงค์" หรือลึงค์ของพระศิวะ ในลัทธิไศวนิยาย ที่บูชาพระศิวะเป็นใหญ่ อันเป็นที่มาของการเรียก "ลึงค์" การบูชาลึงค์ค่อยๆ เผยแพร่ในสยามประเทศ เนื่องมาจากขอมเคยมีอิทธิพลอยู่ในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งไทยเราก็รับคติดังกล่าวมาประยุกต์ดัดแปลงและกำหนดเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้น มีบางคนตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดความเชื่อของฮินดูจึงเข้ามาผูกพันกับพุทธศาสนา โดยเฉพาะในกรณีของปลัดขิก สาเหตุก็คือพุทธศาสนานั้นได้ปรับเปลี่ยนและดัดแปลงเอาความเชื่อดั้งเดิมในวิถีชีวิตมนุษย์ตลอดจนความศรัทธาอื่นๆ เข้ามาด้วยกัน เพื่อประโยชน์ในการเข้าถึงรากเหง้าดั้งเดิม ตลอดจนเป็นกุศโลบายในการเผยแพร่ศรัทธาที่ไม่ขัดแย้งกับความเชื่ออื่นๆ ต่อมาเมื่อกิตติศัพท์ทางแคล้วคลาดรอดพ้นจากโรคภัยและอันตรายต่างๆ ขจรขจายออกไป ก็เกิดความนิยมในการเสาะแสวงหา บรรดาพระเกจิอาจารย์ต่างๆ จึงพากันจัดสร้างปลัดขิกตามตำรับของตน จนเป็นที่แพร่หลายในเวลาต่อมา
เมื่อพระเกจิอาจารย์เริ่มสร้างปลัดขิก ท่านก็รวบรวมเอาความรู้ต่างๆ ดำเนินการปลุกเสก และจัดสร้าง มีการเลือกไม้หรือวัสดุอันเป็นมงคลตลอด จนจดจารพระคาถา เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นใจให้ผู้คนมากยิ่งขึ้น ดังนั้นอานุภาพของปลัดขิกจึงกลายสภาพเป็นเครื่องรางของขลัง โดยมีความเชื่อว่ามีอานุภาพทางด้านป้องกันอันตราย มีเสน่ห์เมตตามหานิยม โชคลาภ การทำมาค้าขาย หรืออื่นๆ อีกด้วย โบราณาจารย์ในสยามประเทศ นิยมสร้างเครื่องรางชนิดนี้กันอย่างแพร่หลาย บ้างก็ลงอักขระเลขยันต์ เช่น อะ อุ มะ หรือ โอม อันเป็นการสรรเสริญ พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ ในศาสนาฮินดู บ้างก็จารจารึกอักขระอื่นๆ พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงทางด้านการสร้างปลัดขิกก็คือ หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก จ.ฉะเชิงเทรา หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ จ.ชลบุรี เป็นต้น ปัจจุบันแม้โลกจะเจริญก้าวหน้าด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่ผู้คนก็ยังนิยมบูชาเครื่องรางที่เรียกว่า "ปลัดขิก" กันอย่างแพร่หลาย ตามกระเป๋าพ่อค้าแม่ขายจะใส่ปลัดขิกดอกน้อยไว้เพื่อให้ทำมาค้าขึ้น บางคนก็ตั้งไว้หน้าร้าน ปิดทองอย่างสวยงาม นัยได้ว่า "ปลัดขิก" กลับแหวกกระแสของความเจริญเข้ามาอยู่ในความศรัทธาของสังคมไทย และก้าวไปพร้อมความเจริญ โดยมิได้ตกยุคตกสมัยแต่อย่างไร

โดยคุณ chaweephan (356)  [อ. 05 ม.ค. 2553 - 20:16 น.] #991527 (2/2)
สวยงามๆๆๆๆ

!!!! กรุณา Login ก่อนจึงจะเสนอความคิดเห็นได้ !!!


Copyright ©G-PRA.COM
www5